
มปอ. ผนึกร้านอาหาร กทม. คุมเข้ม "10 วันอันตราย" ย้ำ! ดื่มไม่ขับ-ไม่ขายต่ำกว่า 20
มปอ. ผนึกร้านอาหาร กทม. คุมเข้ม "10 วันอันตราย" รณรงค์ “ฉลองปลอดภัย ดื่มไม่ขับ” ย้ำ! ไม่ขายให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี
มปอ. ประกาศลุย! รวมพลังผู้ประกอบการทั่วกรุงเทพฯ สกัดกั้นฝันร้ายในช่วง "10 วันอันตราย" รณรงค์หนัก "ฉลองปลอดภัย ดื่มไม่ขับ" หวังหยุดสถิติเลือดนองถนน พร้อมคาดโทษร้านค้าห้ามขายแอลกอฮอล์ให้เด็กเด็ดขาด ย้ำชัด... อย่าให้ความสนุกเพียงชั่วคราว กลายเป็นความสูญเสียตลอดกาล!
3 มาตรการเหล็ก สกัดเหตุสลด
- ไม่ขายเด็ก: ห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปีเด็ดขาด
- ไม่ขายคนเมา: ปฏิเสธการขายให้ผู้ที่มีอาการมึนเมาอย่างชัดเจน ตามกฎหมายมาตรา 29
- ส่งกลับปลอดภัย: สนับสนุนให้ผู้ดื่มใช้รถสาธารณะแทนการขับขี่เอง โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด
นางสาวชัชฎา จันทรางศุ ประธานมูลนิธิแก้ไขปัญหาการดื่มแอลกอฮอล์ เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา ประเทศไทยยังคงเผชิญกับอุบัติเหตุบนท้องถนนในระดับสูง โดยตลอดช่วงเฝ้าระวัง “10 วันอันตราย” ระหว่างวันที่ 28 ธันวาคม 2567 ถึง 5 มกราคม 2568 เกิดอุบัติเหตุรวม 2,467 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 436 คน และผู้บาดเจ็บกว่า 2,300 คน สาเหตุหลักยังคงมาจากการขับรถเร็วเกินกำหนด เมาแล้วขับ และรถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่เกิดเหตุสูงสุด สะท้อนถึงความท้าทายด้านความปลอดภัยทางถนนที่ยังต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง
นางสาวชัชฎากล่าวต่อว่า เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเทศกาลปีใหม่ของปีก่อนหน้า ภาพรวมอุบัติเหตุบนท้องถนนยังไม่สะท้อนการปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน แม้รูปแบบการรายงานจะแตกต่างกัน โดยในอดีตใช้กรอบ “7 วันอันตราย” ขณะที่ปีล่าสุดขยายเป็น “10 วันอันตราย” แต่เมื่อพิจารณาตัวชี้วัดสำคัญ พบว่า จำนวนผู้เสียชีวิตเฉลี่ยต่อวันยังไม่ลดลง ขณะที่ รถจักรยานยนต์ยังคงเป็นยานพาหนะที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด สะท้อนว่ามาตรการด้านความปลอดภัยทางถนนยังไม่สามารถลดความสูญเสียได้อย่างมีนัยสำคัญ และตั้งคำถามสำคัญว่า ทุกเทศกาลที่ผ่านไป ประเทศไทยจำเป็นต้องยอมรับการสูญเสียในลักษณะนี้ต่อไปหรือไม่
“การแก้ปัญหาเมาแล้วขับต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน การบังคับใช้กฎหมายต้องเดินควบคู่ไปกับการสร้างวัฒนธรรมการดื่มอย่างมีความรับผิดชอบ ขณะเดียวกัน นโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องสร้างสมดุลระหว่างมิติทางเศรษฐกิจและสาธารณสุข มูลนิธิฯ จึงทำงานร่วมกับทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมมาอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างสังคมบนแนวคิดเช่นนั้น โดยแคมเปญ ‘ฉลองปลอดภัย ดื่มไม่ขับ’ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ครั้งนี้คือหนึ่งในรูปธรรมของงานที่ทำร่วมกัน” นางสาวชัชฎากล่าว
ด้าน นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร กล่าวว่า โครงการรณรงค์ “ฉลองปลอดภัย ดื่มไม่ขับ” จะดำเนินกิจกรรมตลอดระยะเวลา 7 วัน ในช่วงคุมเข้ม ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2568 ถึง 2 มกราคม 2569 โดยรณรงค์ให้ผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วกรุงเทพมหานครปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และผู้ที่มีอาการมึนเมา พร้อมเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อร่างกายสู่ประชาชนผ่านสื่อในรูปแบบต่าง ๆ
“‘ร้านนี้ห่วงใย ดื่มไม่ขับ ดื่มอย่างรับผิดชอบ ไม่ขายให้บุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปี’ คือสารที่ผู้ประกอบการต้องการสื่อไปถึงประชาชนทุกคน เราอยากให้การเฉลิมฉลองปีใหม่เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขและความปลอดภัย หากคุณอายุต่ำกว่า 20 ปี เราไม่ขาย หากคุณมีอาการมึนเมา เราไม่ขาย และหากคุณดื่ม เราสนับสนุนให้คุณใช้บริการรถสาธารณะเพื่อกลับบ้านอย่างปลอดภัย” นายสรเทพกล่าว
นายสรเทพกล่าวเพิ่มเติมว่า ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลใด แนวคิด “ดื่มไม่ขับ ดื่มอย่างรับผิดชอบ” นั้นยังคงสอดคล้องกับนโยบายรัฐด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศ และถนนที่ปลอดภัยถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
ขณะที่ นายฌานนท์ เกิดเจริญ นายกสมาคมร้านอาหาร กล่าวว่า ภาคผู้ประกอบการขอขอบคุณรัฐบาลที่ขยายเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเปิดให้ทดลองขายในช่วงเวลา 14.00–17.00 น. เป็นระยะเวลา 180 วัน รวมถึงขยายเวลาการดื่มต่อได้อีก 1 ชั่วโมงหลังเวลาห้ามขาย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยจะมีการประเมินผลก่อนพิจารณาบังคับใช้อย่างถาวร ทั้งนี้ ผู้ประกอบการพร้อมปฏิบัติตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะมาตรา 29 ที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบของผู้ประกอบการ
“ร้านอาหารมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยและความปลอดภัยภายในสถานประกอบการ รวมถึงไม่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และผู้ที่มีอาการมึนเมาอย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน เราก็อยากให้ภาครัฐบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม ไม่ผลักภาระให้ผู้ประกอบการเพียงฝ่ายเดียว พร้อมสร้างการรับรู้และความร่วมมือในสังคม เช่น การรณรงค์ดื่มไม่ขับ การให้ข้อมูลที่เข้าใจง่าย และการจัดระบบเรียกรถกลับบ้านในราคาที่เหมาะสม” นายฌานนท์กล่าว
นายฌานนท์กล่าวทิ้งท้ายว่า ภาคผู้ประกอบการเห็นด้วยกับการส่งเสริมความปลอดภัยของสังคม และไม่สนับสนุนการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับขี่ยานพาหนะ โดยในอนาคต สมาคมร้านอาหาร ชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร และมูลนิธิแก้ไขปัญหาการดื่มแอลกอฮอล์ จะทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง เพื่ออบรมผู้ประกอบการทั่วประเทศและสื่อสารกับสังคม เพื่อสร้างความปลอดภัยและความยั่งยืนในระยะยาว



