
มีผลแล้ว! กฏหมายห้ามร้านจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้คนเมา
มีผลแล้ว! กฏหมายห้ามร้านขายเหล้า–เบียร์ ให้คนเมา หากฝ่าฝืนผู้ได้รับความเสียหายสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายจากร้านได้
ภายหลังการประกาศใช้ พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2568 อย่างเป็นทางการ นับเป็นการยกระดับมาตรการกำกับดูแลการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เข้มงวดขึ้น หลังจากมีการขยายเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มเป็นช่วงเวลา 11:00 – 24:00 น. โดยเฉพาะการเพิ่มความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการร้านค้า เมื่อกฎหมายฉบับใหม่เปิดช่องให้ผู้ได้รับความเสียหายสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายจากร้านค้าที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับผู้ที่มีอาการมึนเมา จนก่อเหตุสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น
เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 เพจสมาคมคราฟท์เบียร์ ได้ออกมาอธิบายสาระสำคัญของกฎหมายฉบับดังกล่าว พร้อมสรุปแนวทางการปฏิบัติสำหรับร้านค้าและผู้ประกอบการ เพื่อให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ควบคู่กับการรณรงค์ “การดื่มอย่างมีคุณภาพ” และความรับผิดชอบต่อสังคม
สมาคมฯ ระบุว่า ภายใต้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับที่ 2 ร้านค้าสามารถจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ในช่วงเวลา 11.00–24.00 น. และยังคงมีข้อห้ามในการจำหน่ายให้กับบุคคลบางกลุ่ม ได้แก่ บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ โดยผู้ขายสามารถขอให้ผู้ซื้อแสดงบัตรประจำตัวประชาชนได้ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอายุ รวมถึงบุคคลที่มีอาการมึนเมา ซึ่งผู้ขายต้องใช้ดุลยพินิจในการพิจารณา และสามารถปฏิเสธการขายได้หากเห็นว่ามีความเสี่ยง
ทั้งนี้ ข้อห้ามในการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับบุคคลที่มีอาการมึนเมา ถือเป็นกฎใหม่ที่เพิ่มเข้ามาโดยเฉพาะใน พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว
ในส่วนของบทลงโทษ กฎหมายได้ระบุไว้ใน มาตรา 29 ว่า หากผู้ขายหรือร้านค้าฝ่าฝืนข้อห้ามดังกล่าว และเป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย เช่น ทรัพย์สินเสียหาย มีผู้บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต ผู้ขายหรือร้านค้าจะต้อง ร่วมรับผิดชอบในการชดใช้ค่าเสียหาย และยังมีความผิดตามกฎหมายเพิ่มเติม โดยในวรรค 3 ของมาตราดังกล่าว เปิดทางให้ผู้ได้รับผลกระทบสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายจากร้านค้าได้โดยตรง เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางกฎหมาย สมาคมคราฟท์เบียร์ได้เสนอแนวทางปฏิบัติสำหรับร้านค้าและผู้ประกอบการ อาทิ
- การติดตั้งกล้องวงจรปิดภายในร้าน เพื่อใช้เป็นหลักฐานในกรณีจำเป็น
- การอบรมพนักงานให้มีความรู้ด้านกฎหมาย และสามารถพิจารณาบุคคลต้องห้าม รวมถึงการปฏิเสธการขายได้อย่างเหมาะสม
- การติดป้ายแจ้งกฎหมายใหม่ให้ลูกค้าทราบอย่างชัดเจน
- การรณรงค์ให้ลูกค้าใช้รถสาธารณะ หรือบริการเรียกรถ แทนการขับขี่ยานพาหนะด้วยตนเอง
ที่มา : สมาคมคราฟท์เบียร์



