
ตายายลำปาง ร้องทุกข์ ตัดไม้ 1 ต้น ถูกผู้นำหมู่บ้านแจ้งจับ ปรับหลักแสน
ตายายลำปาง ร้องทุกข์ ตัดไม้ 1 ต้น ถูกผู้นำหมู่บ้านแจ้งจับ ปรับหลักแสน หนี้สินท่วมหัว ก่อนเจอแจ้งฟ้องซ้ำจากป่าไม้ ท้อใจความยุติธรรมอยู่ไหน
สองตายาย ร้องทุกข์สำนักข่าวคมชัดลึก ครอบครัวสุดท้อไม่รู้จะเดินต่ออย่างไร หลังคุณตาตัดไม้สักในพื้นที่ครอบครองของตัวเอง1ต้น ซึ่งเป็นต้นเดิม (หน่อ) เพื่อนำไปเสาหลังคากันแดด แต่หลังจากนั้น ผู้ใหญ่บ้านแจ้งปรับ-แจ้งป่าไม้จับฟ้อง-ปรับหนึ่งแสน จนหมดเนื้อหมดตัวเป็นหนี้สิน แม้สุดท้ายศาลลำปางสั่งให้คืนเงินค่าปรับเพราะไม่มีอำนาจ และระบุว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นสิทธิ์ของตายายและแม้ต้นไม้ที่ตัดครอบครัวเป็นผู้ปลูก แต่เมื่อมีผู้ร้อง จนท.ป่าไม้จึงต้องแจ้งความดำเนินคดี แม้ปริมาตรของต้นไม้1ต้นจะมีเพียง 0.2 ลบ.ม ซึ่งน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดก็ตาม เรื่องยังไม่จบผู้ใหญ่บ้านยังกีดกั้นไม่ให้เข้าร่วมทุกโครงการ--กดดัน สสจ.ให้ปลดยายออกจาก อสม.-กดดันหลานชายที่เรียน รร. ในหมู่บ้านจนต้องย้ายไปเรียนต่างหมู่บ้าน ล่าสุดแจ้งให้ป่าไม้ฟ้องกล่าวหาแผ้วถางป่าซ้ำอีก ทั้งๆที่เป็นพื้นที่เดิม ขณะที่ในจุดอื่นผู้ใหญ่บ้านกลับปล่อยให้มีการบุกรุกที่ป่าเพิ่มโดยไม่ดำเนินการใดๆ
เรื่องดังกล่าว ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากครอบครัวของคุณตาถนอม ใจไหว อายุ 68 ปี ยายคำน้อย ใจไหว อายุ 64 ปี ชาวบ้านบ้านทุ่งฮี ม.1 ต.วังทรายคำ อ.วังเหนือ จ.ลำปาง ตายาย มีอาชีพทำไร่ทำสวน เลี้ยงดูหลานชาย 1 คน ส่วนลูกสาวเดิมก่อนหน้านั้นทำงานเป็นครูอัตราจ้างที่ รร.หน้าบ้าน แต่หลังเกิดเรื่อง ถูกกดดันให้ลาออก และได้นำเงินเดือนสุดท้ายที่ได้รับไปจ่ายค่าปรับที่ถูก ผู้ใหญ่บ้านบังคับให้ตายายรับผิดว่าตัดไม้1ต้น ในเขตป่าสาธารณะของหมู่บ้าน (คสล.) อ้างมีอำนาจปรับ จำนวน 5,000 บาท โดยไม่ออกเอกสารใดๆให้ ลูกสาวจึงถ่ายรูปตอนมอบเงินและถ่ายธนบัตรไว้ จากนั้นจึงได้ไปหางานทำงานที่ต่างจังหวัด
ตาถนอม ยายคำน้อย ได้พาผู้สื่อข่าวฯ ลงพื้นที่ดูสวนที่ตนเองได้รับตกทอดมาจากบิดาของคุณยายคำน้อย ที่ทำกินมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2506 ซึ่งเป็นครอบครัวแรกที่เข้ามาบุกเบิกในพื้นที่ แห่งนี้ โดยพื้นที่ดังกล่าวมีขอบเขต รั้วเสาเก่าปักไว้และมีการปลูกต้นไม้(สัก) เป็นแนวไว้และปลูกไม้ล้มลุก ข้าว ข้าวโพด พืชผักสวนครัว ในที่ดินป่าไม้ถาวรแห่งนี้ ซึ่งอดีตพ่อของยายคำน้อยซึ่งเป็ฯผู้ปลูกต้นสัก ก็เคยตัดไม้ไปใช้ประโยชน์ ปัจจุบันเป็นต้นหน่อ และในพื้นที่ยังมีกระท่อมเก่าดั้งเดิมที่ปลูกไว้1หลัง และได้ผุพังไปตามกาลเวลา จึงได้มีการซ่อมแซมเพื่อให้พักอาศัยได้ตามสภาพ
ยายคำน้อย และตาถนอม ได้เล่าพร้อมกับบางช่วงถึงกับร้องให้ออกมาเพราะอัดอั้นใจและยอมรับว่าชีวิตท้อมาก เพราะไม่ว่าจะไปร้องเรียนหน่วยงานไหนก็เงียบ ไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกผู้มีอำนาจกลั่นแกล้งโดยไม่ทราบสาเหตุ ต่อมาทุกโครงการถูกตัดไม่ให้เข้าร่วมโดยผู้ใหญ่บ้านอ้างว่าพื้นที่สวนไม่อยู่ในเขตที่สามารถเข้าร่วมโครงการของรับได้
ลูกสาวจึงขอตรวจสอบพื้นที่จาก สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3ลำปาง จึงทราบว่าพื้นที่สวนของตาถนอมและยายคำน้อย อยู่ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติขุนวัง แปลง2 ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ในเกณฑ์ที่จะเข้าร่วมโครงการของรัฐได้ แต่ ผู้ใหญ่บ้านก็ยังปฎิเสธไม่ให้เข้าร่วม ยังคงอ้างว่าอยู่ในพื้นที่ คศล. หรือ นสล. (หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง) แม้ภายหลังทราบว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้อยู่ในพื้นที่ คสล. ก็ไม่ยอมนำเงินที่ปรับคืนให้กับครอบครัว และไม่ยอมแจ้งข่าวให้ชาวบ้านทราบความจริง แต่ยังคงให้ชาวบ้านทั่วไปรับรู้ว่าครอบครัวบุกรุกที่ป่าเหมือนเดิม จนถูกชาวบ้านบางส่วนรังเกียจและซุบซิบนินทา
ต่อมาครอบครัวขอตรวจสอบสิทธิ์ พื้นที่พร้อมกับร้องศูนย์ดำรงธรรมเพื่อให้ตรวจสอบการปฎิบัติหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้าน เนื่องจาก พื้นที่ข้างเคียงที่มีการแผ้วถางป่า แต่ไม่มีการดำเนินาการด้านกฎหมาย ผู้ใหญ่บ้านกลับมาชี้แนวเขตและชี้ให้ตัดพื้นที่เดิมของครอบครัวออก ทั้งๆที่ไม่มีสิทธิ์กระทำได้ ต่อมา จนท.ป่าไม้ นำ จนท.เข้าตรวจสอบพื้นที่ ก็รับรองพื้นที่ว่าเป็นพื้นที่ที่ได้รับการจัดสรรตามโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน รวม 6-1-27 ไร่ โดยผู้ใหญ่บ้านไม่ได้เข้าร่วมชี้จุด และไม่ยอมเข้าให้ถ้อยคำกับ จนท. โดยอ้างว่าหากให้ถ้อยคำ ตนเองและชาวบ้านจะมีความผิด และแจ้งว่าจะขอคืนค่าปรับให้กับครอบครัว ส่วนการร้องเรื่องตัดต้นไม้ จนท.ป่าไม้ให้เหตุผลว่าเมื่อมีคนร้อง และมีการตัดต้นไม้ในพื้นที่ของตนเองที่ได้รับอนุญาตหรือแม้ตัวเองปลูกเอง แต่ไม่ได้ขออนุญาต จึงได้แจ้งความและส่งฟ้อง ศาลตัดสินให้จ่ายค่าปรับมากถึง 1 แสนบาท ซึ่งครอบครัวไม่มีเงิน ศาลจึงให้คุณตาถนอมต้องบำเพ็ญประโยชน์แทน รวมถึง 400 ชั่วโมง สร้างความอัดอั้นใจให้กับครอบครัวเป็นอย่างมากและล่าสุดยังไม่หยุด ผู้ใหญ่บ้านยังร้องเรียนว่าคุณตาและคุณยาย ทำการปิดกั้นทางสาธารณะ ซึ่งก็คือทางเข้าที่สวน และเมื่อ จนท.มาตรวจสอบก็พบว่าเป็นทางเดิมที่ใช้พาะของครอบครัวเท่านั้น จึงเปลี่ยนเป็นการรองเรื่องการครอบครองและแผ้วถางป่า โดย จนท.ป่าไม้ ได้เข้าแจ้งความที่สภ.วังเหนือ เมื่อ 17 มิ.ย.68 กล่าวหาว่ามีการครอบครองและแผ้วถางป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเมื่อผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบ ก็พบว่า พื้นที่ที่ถูกกล่าวหานั้น ก็คือจุดที่เป็นทางสำหรับรถวิ่งเข้าพื้นที่สวนของตาและยาย และร่องรอยดังกล่าว เป็นร่องรอยเดิมที่ก่อนหน้านั้นไม่ได้มีการบุกรุกแผ้วถางใหม่แต่อย่างใด
ซึ่งในเรื่องดังกล่าวครอบครัวของคุณตานอมและคุณยายคำน้อย ก็ถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ โดยบอกว่า ทำไมหน่วยงานรัฐถึงไม่มาตรวจสอบข้อเท็จจริงจริงๆ ตนเองมีหลักฐานทุกอย่าง ทำไมถึงเจาะจงมากลั่นแกล้งครอบครัวของตน ทั้งๆที่ไม่เคยไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร ทุกวันนี้หลังจากเกิดเรื่องถูกฟ้องเรื่องการตัดต้นไม้1ต้น ครอบครัวก็แทบล่มสลาย เพราะเงินก็หมดกับการต่อสู้ทางคดี การเดินทาง ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาใช้ ต้องถูกกดดันจากสังคมในหมู่บ้าน เพราะชาวบ้านได้รับข่าวสารที่ผิดๆ จนรังเกียจครอบครัวของจนเอง แม้แต่การทำจิตอาสา อสม.หมู่บ้าน ก็ยังถูกร้องเรียนว่าตนเองถูกดำเนินคดีขอให้ สสจ.ปลดออก หลานชายเรียนชั้น ป.5 รร.ในหมู่บ้านก็ถูกเพื่อนๆรังเกียจ จนต้องย้ายไปเรียนต่างหมู่บ้าน เป้ฯความเจ็บช้ำน้ำใจอย่างบอกไม่ถูก แต่คนที่เป็นผู้นำกลับใช้อำนาจหน้าที่รังแก กดขี่ชาวบ้าน ขณะที่กฎหมายไม่สามารถเอาผิดผู้นำได้เลย ซึ่งในคดีนี้ครอบครัวไม่รู้จะไปพึ่งใครเพราะร้องเรียนไปทุกหน่วยงานก้เงียบ จึงตัดสินใจร้องผู้สื่อข่าวดังกล่าว ส่วนสาเหตุที่ถูกกลั่นแกล้ง คุณยายคำน้อยเผยว่า คาดว่าผู้ใหญ่บ้านเข้าใจผิด โดยคิดว่าครอบครัวเป็นคนร้องเรียนเรื่องบ่อขยะในหมู่บ้าน ซึ่งข้อเท็จจริงทางครอบครัวไม่ทราบเรื่องดังกล่าวเลย และเคยขอดูเอกสารที่มีการร้องเรียนก็ไม่ปรากฎหลักฐานใดๆ.



