ข่าว

GISTDA เผยบทวิเคราะห์ หลายปัจจัยสำคัญ ส่งผล น้ำท่วมหาดใหญ่ รุนแรงขึ้น

GISTDA เผยบทวิเคราะห์ หลายปัจจัยสำคัญ ส่งผล น้ำท่วมหาดใหญ่ รุนแรงขึ้น

25 พ.ย. 2568

GISTDA เผยบทวิเคราะห์ มหาอุทกภัยลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา 68 เปิดสาเหตุ ปัจจัยสำคัญ "น้ำท่วมหาดใหญ่" รุนแรงขึ้น ปริมาณฝน ทุบสถิติ ปี 53

25 พ.ย. 2568 สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA เปิดเผย บทวิเคราะห์มหาอุทกภัยลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา 2568 ภัยพิบัติจากสภาพอากาศสุดขั้วและข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง

อุทกภัยครั้งใหญ่ในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์น้ำท่วมตามฤดูกาล แต่เป็นวิกฤตที่สะท้อนถึงความซับซ้อนของปัญหาจาก ปรากฏการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว และ ความเปราะบางเชิงโครงสร้างของลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา

โดยมีข้อมูลสำคัญจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ยืนยันว่า ระดับน้ำครั้งนี้ สูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดเมื่อปี พ.ศ. 2553 และบางแหล่งข้อมูลระบุว่า ปริมาณฝนสะสมสูงถึง 630 มิลลิเมตร ใน 3 วัน (19–21 พ.ย.) ซึ่งมากกว่าปริมาณสูงสุดของปี 2553 (428 มม.) และจัดเป็นปรากฏการณ์ฝนตกหนักในรอบหลายสิบปี

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงได้ปกคลุมภาคใต้ตอนล่าง ทำให้หลายพื้นที่เผชิญกับฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องหลายวัน สำหรับพื้นที่จังหวัดสงขลา โดยเฉพาะอำเภอหาดใหญ่ ข้อมูลจากคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติระบุว่า ปริมาณฝนครั้งนี้สูงที่สุดในรอบหลายปี ส่งผลให้มีน้ำหลากเข้าท่วมชุมชนมากกว่า 100 แห่ง บางพื้นที่มีระดับน้ำสูงถึง 3 เมตร บ้านเรือน ถนน และโครงสร้างพื้นฐานได้รับความเสียหายจนการสัญจรแทบเป็นไปไม่ได้ เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และรุนแรงกว่าหลายปีที่ผ่านมา
 

GISTDA เผยบทวิเคราะห์ หลายปัจจัยสำคัญ ส่งผล น้ำท่วมหาดใหญ่ รุนแรงขึ้น

พื้นที่ลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา ซึ่งเป็นหนึ่งในลุ่มน้ำสำคัญของจังหวัดสงขลา ลุ่มน้ำแห่งนี้มีต้นน้ำอยู่บริเวณอำเภอสะเดา ไหลผ่านพื้นที่เมืองหาดใหญ่ลงสู่ทะเลสาบสงขลาที่แหลมโพธิ์ ตำบลคูเต่า โดยรับน้ำจากคลองสาขาหลายสาย เช่น คลองสะเดา คลองหล้าปัง คลองตง และคลองประตู 

ลักษณะภูมิประเทศตอนบนของลุ่มน้ำเป็นภูเขา โดยเฉพาะเทือกเขาน้ำค้างซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาสันกาลาคีรี ส่วนตอนกลางและตอนล่างเป็นพื้นที่ราบลุ่มกว้าง ซึ่งมีการตั้งถิ่นฐานหนาแน่นอย่างเมืองหาดใหญ่ ทำให้พื้นที่นี้กลายเป็นจุดรับน้ำหลักของลุ่มน้ำทั้งหมด

ลักษณะภูมิประเทศเองเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงขึ้น พื้นที่ตอนเหนือของลุ่มน้ำเป็นภูเขาและพื้นที่ลาดเอียง เมื่อเกิดฝนตกหนัก น้ำจะไหลลงสู่พื้นที่ราบอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีพื้นที่หน่วงหรือกักเก็บน้ำตามธรรมชาติ
 

ขณะเดียวกัน พื้นที่ราบตอนกลางและตอนล่างซึ่งเป็นเขตเมืองมีสิ่งปลูกสร้างหนาแน่น ทำให้การซึมลงดินลดลงอย่างมาก น้ำจำนวนมหาศาลจึงไหลสะสมลงในพื้นที่ล่าง จนเกิดสภาวะที่เปรียบได้ว่า "น้ำลงมาเร็ว แต่ระบายออกช้า" อันเป็นสาเหตุสำคัญของน้ำท่วมขยายวงกว้างในเขตเมืองหาดใหญ่

 

นอกจากปริมาณฝนที่มากกว่าปกติแล้ว เหตุการณ์ครั้งนี้ยังมีลักษณะสำคัญอีกประการหนึ่งคือ "ฝนตกแช่" (Stagnant Rainfall) หรือฝนที่ตกต่อเนื่องยาวนานโดยไม่มีช่วงให้ระดับน้ำได้ลดลงเลย ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน จนถึงหลายวันถัดมา ฝนยังคงตกด้วยความแรงสลับเบา แต่ไม่หยุดสนิท ทำให้ดินอุ้มน้ำจนเต็ม ความสามารถในการดูดซึมน้ำลดลงจนเหลือศูนย์ น้ำผิวดินจึงไหลบ่าลงคลองอู่ตะเภาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวันทั้งคืน ปริมาณน้ำที่ไหลเข้ามาแบบไม่หยุดพักนี้ ทำให้ระบบลำน้ำและระบบระบายภายในเขตเมืองไม่สามารถรับมือได้ทัน เกิดการหนุนทับชั้นแล้วชั้นเล่า จนน้ำท่วมทวีความรุนแรงขึ้นในเวลาอันสั้น

เมื่อรวมเข้ากับปริมาณฝนที่ตกหนักกว่าปกติและตกต่อเนื่องหลายวัน ทำให้ปริมาณน้ำที่ไหลลงสู่คลองอู่ตะเภามากเกินความสามารถของทั้งดิน ระบบลำน้ำ และระบบระบายน้ำในเขตเมืองในการรองรับ พื้นที่ราบตอนล่างซึ่งเป็นโซนรับน้ำสุดท้ายของลุ่มน้ำถูกน้ำท่วมซ้ำซากอีกครั้ง เหตุการณ์ครั้งนี้จึงเป็นผลลัพธ์ของทั้งสภาพอากาศสุดขั้วและข้อจำกัดด้านภูมิประเทศที่เสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมโดยโครงสร้าง

ความรุนแรงของอุทกภัยครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัดสงขลา ทั้งความเสียหายต่อเมือง ที่อยู่อาศัยประชาชน ระบบสาธารณูปโภคล่ม ระบบการขนส่ง เป็นต้น จนจังหวัดสงขลาได้ประกาศเขตภัยพิบัติทั้ง 16 อำเภอ และต้องเร่งอพยพประชาชนจำนวนมากคนออกจากพื้นที่เสี่ยง

เหตุการณ์น้ำท่วมลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภาครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนถึงความเปราะบางของพื้นที่ต่อสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ เป็นความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อให้ลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภาและเมืองหาดใหญ่ รวมถึงลุ่มน้ำอื่นๆที่มีลักษณะปัจจัยใกล้เคียง สามารถรับมือกับเหตุการณ์น้ำท่วมที่อาจทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต