
ดราม่ากฎหมายใหม่ "ดื่มนอกเวลาขายปรับ 1 หมื่น" สังคมหวั่น! กระทบการท่องเที่ยว
ดราม่าสะเทือน "สายดื่ม" กฎหมายใหม่ พ.ร.บ. ควบคุมแอลกอฮอล์ บังคับใช้ " ดื่มนอกเวลาขายปรับ 1 หมื่น" สังคมหวั่น! กระทบเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว
ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ได้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ และหนึ่งในประเด็นที่สร้างความกังวลและกลายเป็น "ดราม่าสนั่น" คือ บทบัญญัติที่กำหนดโทษปรับหนักสำหรับ ผู้บริโภค ที่นั่งดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านค้าหรือสถานบริการ นอกช่วงเวลาที่อนุญาตให้ขาย (อ่านฉบับเต็ม! พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ )
- ข้อกำหนดใหม่ที่ต้องระวัง: ห้ามผู้ใดบริโภค (ดื่ม) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่หรือบริเวณที่ขาย หรือจัดบริการเพื่อให้มีการบริโภคแอลกอฮอล์เพื่อการค้า ในช่วงเวลาห้ามขาย
- โทษปรับ: ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษปรับเป็นพินัย ไม่เกิน 10,000 บาท
ช่วงเวลาห้ามขาย (ต้องระวังห้ามนั่งดื่ม)
- ช่วงเช้า: 00.00 น. (เที่ยงคืน) ถึง 11.00 น. (11 โมงเช้า)
- ช่วงบ่าย: 14.00 น. (บ่าย 2 โมง) ถึง 17.00 น. (5 โมงเย็น)
หมายความว่า: หากลูกค้าซื้อเครื่องดื่มก่อนเที่ยงคืน หรือก่อนบ่าย 2 โมง แต่ นั่งดื่มต่อ ในร้านจนเข้าสู่ช่วงเวลาห้ามขาย (เช่น นั่งดื่มต่อจาก 23.50 น. ไปถึง 00.10 น.) ก็อาจเข้าข่ายฝ่าฝืนและถูกปรับได้
ผลกระทบต่อ "ร้านอาหาร-นักท่องเที่ยว" ดราม่าลามข้ามประเทศ
ผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร สถานบันเทิง และธุรกิจกลางคืน ต่างแสดงความกังวลอย่างหนัก โดยระบุว่ากฎหมายนี้จะสร้างภาระและอุปสรรคต่อการทำธุรกิจอย่างมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ
- นักท่องเที่ยวสับสน: นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่เข้าใจกฎหมายการควบคุมเวลาดื่มที่เข้มงวดของไทย และมีการเตือนกันเองในกลุ่มชาวต่างชาติว่า "ไม่ควรเที่ยวไทย" หากต้องเจอข้อจำกัดและโทษปรับที่รุนแรงเช่นนี้
- ธุรกิจขาดรายได้: ร้านอาหารขนาดเล็กที่เคยอนุญาตให้ลูกค้านั่ง "ติดลม" หลังเที่ยงคืน หรือในช่วงบ่าย จะเสียรายได้มหาศาล และส่งผลกระทบซ้ำเติมต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจท่องเที่ยว
- ความเข้าใจผิด: มีความกังวลว่า แม้ลูกค้าจะซื้อเครื่องดื่มมานานแล้ว แต่หากยังนั่งจิบต่ออีกไม่กี่นาทีในช่วงเวลาห้ามขาย ก็อาจถูกเปรียบเทียบปรับทั้งผู้ดื่มและร้านค้าได้
หลายฝ่ายเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐพิจารณามาตรการรองรับ หรือให้ความชัดเจนในการบังคับใช้ เพื่อไม่ให้กฎหมายนี้กลายเป็น "ตัวฉุด" การท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัวอย่างรุนแรง



