ข่าว

ย้อนคดี "เงินทอนวัด" หลัง "อดีตพระพรหมเมธี" เดินทางกลับไทยสู้คดี

ย้อนคดี "เงินทอนวัด" หลัง "อดีตพระพรหมเมธี" เดินทางกลับไทยสู้คดี

05 มิ.ย. 2568

ย้อนคดี "เงินทอนวัด" หลัง "อดีตพระพรหมเมธี" เดินทางกลับไทยในรอบ 7 ปี เพื่อสู้คดี

5 มิ.ย. 2568 เวลาประมาณ 06.30 น. พระจำนงค์ ธัมมจารี หรือ "อดีตพระพรหมเมธี" อายุ 84 ปี เดินทางจากแฟรงก์เฟิร์ต สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี กลับถึงประเทศไทย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ อดีตพระพรหมเมธี ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีเงินทอนวัดเมื่อปี 2561 ฐานร่วมกันฟอกเงิน สนับสนุนเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ และปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และได้ลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งคาดว่าการเดินทางกลับมาไทยครั้งนี้ เพื่อเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย

 

ย้อนคดีดัง ทุจริต "เงินทอนวัด"

ย้อนไปเมื่อปี 2561 คดีทุจริต "เงินทอนวัด" นับเป็นคดีใหญ่ ที่สะเทือนวงการพระพุทธศาสนาครั้งใหญ่ของประเทศไทย จากการที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิด เกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ นำกำลังเข้าตรวจค้นผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งอดีตผู้อำนวยการสำนักพุทธงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เชื่อมโยงพระเถระชั้นผู้ใหญ่หลายรูป กลายเป็นข่าวที่กระทบต่อความรู้สึก และความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน

เหตุการณ์นี้ เริ่มต้นเมื่อกลางปี 2560 จากการเข้าร้องเรียนของเจ้าอาวาสวัดห้วยตะแกละ จ.เพชรบุรี แจ้งความกับกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ "ปปป." เปิดโปงข้าราชการ ที่มีการโอนเงินให้กับวัดเพื่อสร้างอุโบสถ จำนวน 10 ล้านบาท แต่ต้องโอนกลับคืนให้กับข้าราชการ จำนวน 9 ล้านบาท ส่อพฤติกรรมมีพิรุธ ทาง "สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" หรือ พศ. จึงเดินหน้าตรวจสอบทุจริตเงินทอนวัด ร่วมกับ ปปป. แบ่งการทำงานเป็นระลอก

โดยระลอกแรกลงพื้นที่ตรวจค้น 10 จุด เป็นบ้านพักข้าราชการระดับสูงของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งช่าติ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด พบเอกสารการทุจริตงบบูรณะ และปฏิสังขรวัดของตั้งแต่ปี 2555- 2559 เป็นการเบิกจ่ายไป 33 วัด พบมีการทุจริต 12 วัด มีข้าราชการระดับสูงของสำนักงานพระพุทธศาสนา และ พลเรือน เกี่ยวข้อง 10 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 60 ล้านบาท
 

อดีตพระพรหมเมธี

ส่วนลอต 2 เป็นการตรวจสอบ 3 เรื่อง ประกอบด้วยการตรวจสอบงบปฏิสังขรและพัฒนาวัด งบอุดหนุนเพื่อเผยแผ่ศาสนา และงบการศึกษาพระปริยัติธรรม พบทุจริต "เงินทอนวัด" 23 วัด โดยการตรวจสอบในครั้งที่ 2 นี้ พบการทุจริต 141 ล้านบาท พบผู้เกี่ยวข้อง 19 คน เป็นข้าราชการ 3 คน พลเรือน 2 คน และพบพระสงฆ์เกี่ยวข้องจำนวน 4 รูป

จนนำไปสู่การตรวจสอบในลอตที่ 3 ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นลอตที่สร้างความฮือฮาให้กับสังคม และพุทธศาสนิกชนอย่างยิ่ง เนื่องจากการตรวจสอบพบทุจริต "เงินทอนวัด" ดังใน กทม. 3 วัด คือ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร วัดสัมพันธวงศาราม และวัดสามพระยา ส่วนข้าราชการ พศ.ที่ร่วมทุจริต ก็ยังเป็นกลุ่มเดียวกับลอตที่ 1 ถึง 2 และลอตที่ 3 นับเป็นการตรวจสอบพระเถระชั้นผู้ใหญ่ถึง 7 รูป คือ

 

  1. พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขโข) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
  2. พระพรหมเมธี (จํานงค์ เอี่ยมอินทรา) วัดสัมพันธวงศาราม
  3. พระพรหมดิลก (เอื้อน กลิ่นสาลี) วัดสามพระยา
  4. พระราชอุปเสณาภรณ์ (สมณศักดิ์เดิมคือ พระเมธีสุทธิกร) (สังคม สังฆะพัฒน์) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
  5. พระราชกิจจาภรณ์ (สมณศักดิ์เดิมคือ พระวิจิตรธรรมาภรณ์) (เทอด วงศ์ชะอุ่ม) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
  6. พระอรรถกิจโสภณ (สมทรง อรรถกฤษณ์) วัดสามพระยา
  7. พระศรีคุณาภรณ์ (บุญทวี คํามา) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร

 

ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวข้องกับการเขียนโครงการเบิกงบประมานแต่นำไปใช้ไม่ถูกวัตถุประสงค์ หลังจากนั้น จึงมี "ราชกิจจานุเบกษา" เผยแพร่ประกาศ เรื่อง ถอดถอนสมณศักดิ์พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ทั้ง 7 รูป กระทั่ง "พระพรหมเมธี" อดีตเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม หลบหนีไปขอลี้ภัยที่ประเทศเยอรมนี ถึงขนาดที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ณ ขณะนั้น ต้องบินไปประสานทางการเยอรมนี เพื่อพยายามรับตัวกลับมา

ต่อมาศาลมีคำพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว ไม่ปรากฏว่า พระพรหมสิทธิ,พระพรหมดิลก,พระศรีคุณาภรณ์,พระราชอุปเสณาภรณ์,พระราชกิจจาภรณ์ และ พระอรรถกิจโสภณ มีการทุจริตเบียดบังเอาเงินไปเป็นประโยชน์ของตน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ คืนสมณศักดิ์ เว้น "อดีตพระพรหมเมธี" ซึ่งยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม


สำหรับ "อดีตพระพรหมเมธี" เคยดำรงตำแหน่งสำคัญในคณะสงฆ์ไทย อาทิ 
 

 

  • ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม
  • 20 สิงหาคม พ.ศ. 2545 เป็นพระอุปัชฌาย์วิสามัญ
  • 10 มีนาคม พ.ศ. 2547 เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม
  • 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เป็นเจ้าคณะภาค 4-5-6-7 (ธรรมยุต)
  • พ.ศ. 2553 รับพระราชทานสถาปนาสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองที่ พระพรหมเมธี สีลาจารวัตรวิมล โสภณปริยัติดิลก สาธกธรรมวิจิตร พิพิธศาสนกิจจาทร ธรรมยุตติกคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
  • พ.ศ. 2561 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ถอดถอนออกจากสมณศักดิ์