
ระดมเผาทั้งคืน "พังฟ้าใส" หลังถูกเตือน ฝังซากใกล้แม่น้ำ เสี่ยงแพร่เชื้อโรค
ระดมเผาทั้งคืน "พังฟ้าใส" หลังถูกเตือน ฝังซากใกล้แม่น้ำ เสี่ยงแพร่เชื้อโรค ด้าน สัตวแพทย์ มช. คาดเผาลดขนาด ก่อนเคลื่อนย้ายไปฝังจุดเหมาะสม
จากกรณี "พังฟ้าใส" ช้างของมูลนิธิอนุรักษ์ช้างและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์น้ำท่วม เมื่อ 5 ต.ค. โดยเจ้าของช้าง ได้ดำเนินการฝังซากช้างไว้ไม่ไกลจากริมแม่น้ำแตง ด้านหลังรีสอร์ทแห่งหนึ่ง ต.กึ๊ดช้าง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ซึ่งต่อมาสัตวแพทย์ ออกมาชี้ผลกระทบต่างๆ ที่จะตามมา ทั้งเสี่ยงแพร่เชื้อโรค คน สัตว์ พื้นที่ใต้ซาก จะรับผลกระทบเต็มๆ พร้อมแนะให้มีการแก้ไข
ล่าสุด เมื่อช่วงค่ำ 7 ต.ค. 2567 มีผู้พบเห็นกลุ่มคนกำลังช่วยกันเปิดหลุมฝังซาก "พังฟ้าใส" คาดว่าจะมีการนำยางรถยนต์ และไม้โยนใส่ในหลุม ก่อนใช้น้ำมันราดแล้วจุดไฟ ทำให้สามารถมองเห็นแสงไฟลุกโชนเป็นเวลาหลายชั่วโมง จนกระทั่งช่วงเช้าของวันที่ 8 ต.ค. 2567 มีคนช่วยกันตักน้ำเพื่อดับไฟ จนทำให้เกิดควันสีขาวพวยพุ่ง และมีกลิ่นของซากสัตว์เหม็นจนสัมผัสได้
ทั้งนี้ คาดว่าทางมูลนิธิอนุรักษ์ช้าง และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเจ้าของช้างพังฟ้าใส น่าจะมีการเคลื่อนย้ายซากช้างฟ้าใส ไปฝังที่จุดอื่น เนื่องจากจุดมีการท้วงติงจากหลายฝ่ายว่าไม่เหมาะสม และใกล้แหล่งน้ำ เสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อโรค อีกทั้งบริเวณจุดที่ฝังซากพังฟ้าใส ได้ดันดินขึ้นจนมองเห็นเป็นเนินขึ้นมา หากปล่อยไว้จะเกิดซากช้างโผล่ขึ้นมา
นายปานทอง สะอาดศรี หนึ่งในทีมที่เข้าไปปฎิบัติภารกิจช่วยเหลือช้างจมน้ำ ที่มูลนิธิอนุรักษ์ช้าง และสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ในวันที่ 5 ต.ค. 2567 ทีมงานของเราได้ไปเลือกจุดที่จะฝังซากช้างให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยเรื่องโรคระบาดของกรมปศุสัตว์ และได้เตรียมพื้นที่ให้ทางเจ้าของช้างทั้ง 2 เชือกเข้ามาดูก่อน
จนกระทั่งช่วงบ่ายทางทีมงานของมูลนิธิอนุรักษ์ช้างฯ ยืนยันว่าจะขอดำเนินการฝังซากช้างเอง ซึ่งทางทีมงานของเราก็ได้ถอนตัว แต่กลับพบว่ามีการนำช้างพังฟ้าใส ฝังห่างจากลำน้ำแม่แตงเพียง 10 เมตร ซึ่งไม่ถูกหลักวิชาการ ส่วนช้างพังพลอยทอง อยู่ห่างจากฝั่ง 30-40 เมตร ซึ่งจุดนี้ไม่น่าจะมีปัญหา
นายปานทอง กล่าวอีกว่า ถ้าในวันนั้นเขาย้ายซากช้างไปฝังในจุดที่เหมาะสม วันนี้ก็ไม่ต้องมาทำการเผาซากช้างอีก เหมือนทำงานซ้ำซ้อน และต้องเข้าใจว่าการเผาซากช้างไม่ใช่เรื่องง่าย ช้างตัวใหญ่ และเป็นเนื้อช้างสด แม้ว่าหากจะมีการแล่เนื้อช้างมาเผาก็ต้องใช้เวลานานกว่า 3-4 วัน และหากว่าไม่มีการแล่เนื้อช้างก่อนเผาก็ต้องใช้เวลานานไปอีก ยกเว้นมีการใช้เชื้อเพลิงที่เร่งกำจัดให้เร็วขึ้น
ซึ่งเรื่องนี้แม้ว่าจะมีการเผา หรือย้ายซากแล้ว พื้นที่เดิมที่ผังนั้นก็ต้องทำตามขั้นตอนของหลักวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นขนดินไปด้วย และการโรยปูนขาว เพราะไม่เช่นนั้น ของเหลวจากตัวซากช้าง เมื่อไหลลงลำน้ำแม่แตง ซึ่งมีทั้งช้าง และคนใช้ประโยชน์ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย
ด้าน น.สพ.ขจรพัฒน์ บุญประเสริฐ นายสัตวแพทย์ประจำศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง กล่าวว่า เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2567 ได้มีการท้วงติงเรื่องการฝังช้างที่อยู่ใกล้กับริมฝั่งแม่น้ำแม่แตง เพราะตามหลักบนพื้นฐานวิชาการ จะก่อให้เกิดผลกระทบที่ตามมา คือ ของเสียจากการเน่าสลายของซากก็จะซึมลงน้ำ และหากว่ามีฝนตกมาเพิ่ม มีน้ำมาเพิ่ม น้ำเซาะตลิ่ง และน้ำพัดหลุมเซาะกินก็อาจจะมีซากช้างลอยออกมา รวมไปถึงหากซากเน่าก็จะมีการหมักหมมของเชื้อโรคกระจายลงไปในแม่น้ำที่จะมีผลกระทบต่อทั้งคน และสัตว์ที่ใช้ประโยชน์จากลำน้ำแม่แตง ซึ่งสิ่งที่ควรปฎิบัติ คือ การนำเครื่องจักรหนักมายกซากช้างไปฝังในที่เหมาะสม ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ส่วนกรณีทางเจ้าของช้างได้มีการมาเปิดหลุมช้าง และใช้วิธีการเผานั้น ก็ต้องดำเนินการ เพราะตามที่ได้แนะนำไว้ตั้งแต่แรก ซึ่งการเผาซากคงจะต้องการลดขนาดซาก เพื่อให้สามารถเคลื่อนย้ายซากออกไปฝังในจุดใหม่ที่มีความเหมาะสม แต่ตนไม่ได้เข้าไปทำงานตรงจุดนั้น
ตอนนี้มีหน้าที่ในการประเมินสุขภาพช้างที่อยู่ในลำน้ำแม่แตงทั้งหมดกว่า 49 ปาง ช้างจำนวน 546 เชือก โดยปางช้างของมูลนิธิอนุรักษ์ช้างและสิ่งแวดล้อม ที่ประสบปัญหาน้ำท่วม และช้างได้รับผลกระทบนั้น ได้ประเมินสุขภาพช้างทั้ง 116 เชือกเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
ด้าน รศ.ดร.น.สพ.เฉลิมชาติ สมเกิด ผู้ช่วยคณบดี คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า สัตว์ที่จมน้ำตายจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสภาพร่างกายอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากปล่อยให้เน่าเปื่อยอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำก็จะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ ซึ่งกรณีของช้างที่ล้มไป 2 เชือก และได้มีการใช้วิธีฝังนั้น หากมีการฝังลึก 2-3 เท่าตัวหรือประมาณ 6 เมตร และห่างจากริมฝั่งแม่น้ำ 30 เมตร พร้อมกับมีการโรยปูนชาวตามหลักวิชาการ ก็ไม่น่าจะมีปัญหา
แต่กรณีที่มีการนำซากช้างมาเผา จะต้องทำคันดินล้อมรอบหลุมที่เผา และเมื่อทำการเผาซากช้างแล้ว ต้องขุดดินออกไปด้วย เพื่อไม่ให้ของเหลวที่เป็นสารคัดหลั่งจากซากช้างหลงเหลืออยู่ และป้องกันไม่ให้ปนเปื้อนลงไปในแหล่งน้ำ ซึ่งเข้าใจว่ากรณีของมูลนิธิอนุรักษ์ช้างฯ ได้มีการเผาซากช้างนั้น จะเป็นการลดขนาดของซาก เพื่อเคลื่อนย้ายไปฝังในจุดที่เหมาะสม