
เปิดอีกมุม วิกฤติ "ปลาหมอคางดำ" โอกาสชาวบ้านหลายครอบครัว สุดงงถูกห้ามจับ?
เปิดอีกมุม วิกฤติ "ปลาหมอคางดำ" โอกาสชาวบ้านหลายครอบครัว สุดงงถูกห้ามจับในแหล่งน้ำสาธารณะหลายจุด เผยราคารับซื้อภายนอก สูงกว่าที่ตั้งไว้ในกิจกรรม
10 ก.ค. 2567 ที่บ้านบางหรง บ้านหัวดอน หมู่ 7 หมู่ 9 ต.ขนาบนาค อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช พื้นที่ใกล้เคียงอ่าง 183 ไร่ เส้นทางระบายน้ำเสีย จากการระบบชลประทานน้ำเค็ม ซึ่งปัจจุบันเป็นแหล่งระบาดของปลาหมอสีคางดำ อย่างรุนแรง
แม้จะสร้างความเสียหายให้กับระบบนิเวศ สัตว์น้ำวัยอ่อนชนิดต่างๆ อย่างรุนแรง แต่ชาวบ้านหลายครอบครัวอาศัยวิกฤตินี้เป็นโอกาส เหตุจากปลาหมอสีคางดำเป็นที่ต้องการของแพปลา สำหรับจำหน่ายให้กับกลุ่มเรือประมงพาณิชย์ ในการนำไปเป็นเหยื่อสำหรับลอบปู และเรือเบ็ดขนาดใหญ่ ที่มีความต้องการสูง
ทดแทนการนำเข้ากลุ่มปลาเหยื่อ สำหรับทำประมงจากอินโดนีเซีย ที่มีราคาสูงกว่า ชุมชนบ้านหัวดอน ซึ่งประชิดอยู่กับพื้นที่ชลประทานน้ำเค็ม 180 ไร่ ได้ตั้งจุดสำหรับรวบรวมปลาหมอสีคางดำ จากเครือข่ายที่ออกไปหาปลาชนิดนี้ ด้วยการนำเรือขนาดเล็กออกไปวางอวนตาข่ายดัก ทุกวันจะมีคำสั่งซื้อจากแพประมงกระจายปลาเหยื่อให้กับเรือประมงวันละหลายร้อยกิโลกรัม
เครือข่ายการหาปลาในหลายครอบครัว จะออกไปหาและนำมาส่งจำหน่ายให้กับแพกิโลกรัมละ 20 บาท สร้างรายได้ต่อวันไม่น้อย นางสมจิต ดีชู ระบุว่ารายได้ต่อวันในการหาปลาชนิดนี้ ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากสูงถึง 3,000 บาทต่อวัน นอกจากการส่งจำหน่ายให้กับแพแล้ว ยังมีการนำไปแปรรูปได้อีกหลากหลายในอำเภอใกล้เคียง เป็นการสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านซึ่งมีฐานะยากจนอยู่แล้ว ได้เพิ่มรายได้ด้วยปลาชนิดนี้
ยอมรับว่า ในพื้นที่ของชลประทานน้ำเค็มนั้น มีคนเคยมีแนวคิดจะนำกากชามาเบื่อปลา หากทำเช่นนั้นจะทำให้สัตว์น้ำอื่นตายไปหมดด้วย จึงขอร้องว่าไม่ว่าจะจับกันอย่างไรได้หมด แต่อย่าวางกากชาเบื่อปลาเหล่านี้ และที่จะมาจับกันในวันที่ 14 ก.ค. นี้ก็ยินดี และยอมรับว่าในแหล่งน้ำขนาดใหญ่เช่นนี้โอกาสที่จะได้ปลาชนิดอื่นนั้นน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย นอกจากปลาหมอคางดำเต็มพื้นที่
ขณะที่ทีมจับปลาในเครือข่าย ระบุเพิ่มเติมว่า แปลกใจที่ในลำคลองสาธารณะที่มีปลาชนิดนี้ระบาดอยู่มาก ชาวบ้านพร้อมเข้าไปจับมาขาย มาแปรรูป กลับมีคนบางกลุ่มได้เข้ามาไล่ และห้ามไม่ให้มีการจับปลาในหลายจุดของตำบลขนาบนาค ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น อ้างว่าปลาทำลายระบบนิเวศ แต่ทำไมไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปจับ และยังห่วงว่ากิจกรรมที่จะจัดขึ้นในวันที่ 14 ก.ค.นี้ เนื่องจากมีการตั้งราคาแค่ 14 บาท แต่เมื่อชาวบ้านจับตามคำสั่งซื้อจะได้สูงถึง 20 บาท ทำให้ขาดแรงจูงใจในการเข้าร่วมกิจกรรม