ข่าว

'ราคายาง' ทะลุ 100 บาท/กก. กยท. เร่งเดินหน้าตามนโยบายรัฐ

'ราคายาง' ทะลุ 100 บาท/กก. กยท. เร่งเดินหน้าตามนโยบายรัฐ

14 มี.ค. 2567

'กยท.' หรือ การการยางแห่งประเทศไทย เดินหน้าต่อเนื่องสนองนโยบายรัฐบาล เพิ่ม 'ราคายาง' ทะลุ 100 บาทต่อกิโลกรัม

สถานการณ์ 'ราคายาง' ในปี 2567 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยางแผ่นรมควันชั้น 3 จากราคากิโลกรัมละ 57 บาทเมื่อช่วงต้นเดือนมกราคม 2567 ล่าสุดช่วงกลางเดือนมีนาคม 2567 ราคาพุ่งขึ้นทะลุ 90 บาทต่อกิโลกรัมไปแล้ว หรือถ้าหากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566  ราคายางในปีนี้ มีราคาสูงกว่าเฉลี่ยประมาณ 30 บาทต่อกิโลกนัม และที่สำคัญมีความเป็นไปได้ที่ราคาจะไต่ระดับขึ้นสู่ทะลุเลข 3 หลัก หรือกิโลกรัมละกว่า 100 บาท ตามที่ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คาดหวังไว้ โดยที่รัฐบาลไม่ต้องแทรกแซงราคาตลาดยางพารา

 

 

ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเอาจริงของรัฐบาลในการปราบปรามการลักลอบนำเข้ายางพาราเถื่อนอย่างเข้มงวดจริงจัง โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้บูรณาการร่วมทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงพาณิชย์ ทหาร และตำรวจ  ทำให้ไม่มียางนอกระบบหรือยางเถื่อนเข้ามาในประเทศ ผู้ใช้ยางจะต้องซื้อยางในระบบเท่านั้น  ซึ่งมีจำนวนที่จำกัด

ในขณะที่ความต้องการมีเพิ่มขึ้น ทำให้ 'ราคายาง' พุ่งสูงขึ้นตามกลไกการตลาด หากนำมาวิเคราะห์เป็นตัวเงินแล้ว ราคายางที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว สามารถทำรายได้ให้เกษตรกรชาวสวนยางเพิ่มขึ้นรวมกันมากกว่าวันละ  210  ล้านบาท และถ้าตลอดทั้งปียางมีราคาอยู่ในระดับ 72 บาทขึ้นไป รายได้ของชาวสวนยางทั้งประเทศก็จะเพิ่มขึ้นรวมกันมากกว่าปีละ 76,650 ล้านบาท 

 

อย่างไรก็ตามเฉพาะการปราบปรามการลักลอบนำเข้ายางพาราเถื่อนนั้น  ไม่ได้เป็นเพียงปัจจัยเดียวที่ทำให้ราคายางเพิ่มขึ้น แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆร่วมด้วย  ไม่ว่าจะเป็น ปริมาณความต้องการใช้ยางทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น 

 

โดยเฉพาะจากอุตสาหกรรมรถยนต์ ยอดการผลิตรถยนต์ทั่วโลกเพิ่มขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์ไฟฟ้าขยายตัวมากกว่า 10% ทำให้ความต้องการใช้ยางในการผลิตยางล้อรถยนต์เพิ่มขึ้นตามมาด้วย  ในขณะที่สต๊อกยางโลกเริ่มลดลง และปริมาณยางใหม่ที่ออกสู่ตลาดมีจำนวนจำกัด นอกจากนี้นโยบายเกี่ยวกับยางของรัฐบาลก็เป็นปัจจัยหลักที่สำคัญอีกปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนทำให้ยางมีราคาเพิ่มขึ้นอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน

\'ราคายาง\' ทะลุ 100 บาท/กก. กยท. เร่งเดินหน้าตามนโยบายรัฐ

ดร.เพิก เลิศวังพง ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย (ประธานบอร์ด กยท.) คนใหม่  ได้เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย 7 ด้านภายใต้แนวคิด "อยู่ได้  พอใจ  ยั่งยืน" ให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็น การสร้างปัจจัยการผลิตแบรนด์ การยาง เพื่อลดต้นทุนด้านปัจจัยการผลิตให้กับเกษตรกรชาวสวนยาง 

โดยจะผลักดันให้ กยท. ทำปุ๋ยและเคมีภัณฑ์เกี่ยวกับการทำสวนยางที่ได้มาตรฐานภายใต้แบรนด์ การยาง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและสร้างรายได้ให้กับองค์กร จำหน่ายในราคาถูก การติดอาวุธทางความรู้และเครื่องมือในการประกอบอาชีพให้เกษตรกรชาวสวนยาง จะส่งเสริมถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีศักยภาพและเหมาะสมสำหรับเกษตรกรชาวสวนยาง  เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น การบริหารจัดการโรคใบร่วงอย่างจริงจัง  โดยบูรณาการร่วมกับภาคเอกชน ค้นคว้างานวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรม เพื่อแก้ปัญหาโรคใบร่วงอย่างเป็นระบบ การออก "โฉนดไม้ยาง" ทุกพื้นที่ทั่วไทย  โดย กยท.จะเร่งทำการขึ้นทะเบียนต้นยาง เพื่อออกโฉนดไม้ยาง พร้อมทั้งปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรชาวสวนยางให้เป็นฐานข้อมูลในการบริหารจัดการอย่างเป็นเอกภาพ   

ดร.เพิก เลิศวังพง ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย

หรือการสร้างตลาดยางมาตรฐานเดียวกันทุกท้องถิ่นทั่วไทย เพื่อรองรับการบังคับใช้กฎหมาย EU Deforestation-free Products Regulation (EUDR) ของสหภาพยุโรป(EU)ที่จะมีผลบังคับใช้ในเดือนธันวาคม 2567 นโยบายในเรื่องนี้ของรัฐบาลให้ความสำคัญเป็นกรณีพิเศษ โดยสั่งการให้ กยท.กำหนดเป็นนโยบายที่จะต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน เพื่อที่จะเพิ่มโอกาสในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถขยายตลาดยางพาราในสภาพยุโรปได้มากขึ้น  เหนือกว่าประเทศคู่แข่ง  และทำให้ราคายางเพิ่มขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ

 

นอกจกากนี้ กฎหมาย EUDR เป็นกฎหมายว่าด้วยสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ 7 ประเภท ยางพาราก็เป็น 1 ใน 7 ประเภทดังกล่าว ที่จะต้องปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่า ยางพาราและผลิตภัณฑ์จากยางมาจากสวนยางที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่อยู่ในพื้นที่ต้นน้ำ  พื้นที่อนุรักษ์ และพื้นที่ป่า รวมทั้งจะต้องมีการจัดการสวนยางพาราที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและไม่ส่งผลกระทบต่อสังคม ซึ่งในปัจจุบันมีประเทศผู้ส่งออกยางพาราที่สามารถย้อนกลับได้เพียง 2 ประเทศคือ ประเทศไอวอรีโคสต์ และประเทศไทย สามารถตรวจย้อนกลับได้ประเทศละประมาณ1ล้านตันรวม 2 ล้านตันในขณะที่สหภาพยุโรปมีความต้องยางพาราถึง 4 ล้านตัน ดังนั้นไทยจะต้องใช้โอกาสนี้ในการขยายตลาดยางพารา

 

ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทยหรือประธานบอร์ดกยท.เผยต่อว่า  กยท.ได้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มปริมาณยางพาราที่สามารถตรวจย้อนกลับถึงแหล่งกำเนิดจาก 1 ล้านตันให้ได้ 2 ล้านตันก่อนสิ้นปี2567  และให้ได้ 3.5  ล้านตันภายในปี 2568  เพื่อรองรับความต้องการของสหภาพยุโรป และประเทศอื่น ๆ ที่ซื้อยางจากประเทศไทยเพื่อนำเป็นแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆส่งไปขายในสหภาพยุโรป ซึ่งจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย EUDR เช่นกัน  ทั้งนี้หากทำสำเร็จ จะสามารถจำหน่ายยางพาราของไทยได้ในราคาที่สูงกว่า 'ราคายาง' ทั่วไปไม่ต่ำกว่า 4-5 บาทต่อกิโลกรัม และยังสามารถขาย Carbon Credit ได้อีกด้วย ซึ่งจะมีส่วนสำคัญที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็น "ศูนย์กลางยางพาราและผู้กำหนดราคายางโลก" 

 

" กยท. จะดำเนินการยกระดับสร้างเครือข่ายตลาดประมูลท้องถิ่นของกยท.กว่า 500 แห่งทั่วประเทศ   ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน  ด้วยการนำระบบการซื้อขายประมูลยางพารารูปแบบ Digital Platform Thai Rubber Trade (TRT) มาใช้ในการประมูลซื้อขาย พร้อมนำเทคโนโลยี Block Chain เข้ามาใช้รองรับการตรวจสอบย้อนกลับข้อมูลแหล่งที่มาของผลผลิตยางพารา" 

 ส่วนการผลิตยางล้อแบรนด์"การยาง"และผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่นๆจากยางพารานั้น เป็นอีกนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เพราะเป็นการเพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศ  โดยขณะนี้ กยท.ได้เจรจากับผู้ผลิตยางรายใหญ่ของไทยและต่างประเทศ  ที่จะผลิตล้อยาง สำหรับรถยนต์ประเภทต่างๆ ทั้งรถปิคอัพ  รถเพื่อการพาณิชย์ รถส่วนบุคคล  และรถเพื่อการเกษตร ภายใต้ยี่ห้อ “การยาง”  นอกจากนี้ยังจะกำหนดเป็นนโยบายให้รถยนต์ของหน่วยงานราชการ ใช้ล้อยางดังกล่าวอีกด้วย 

 นอกจากยางล้อรถยนต์แล้ว กยท. ยังผลิตหมวกยางพารานิรภัย  รองเท้าบู๊ทยางพารา  และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากยางพาราอื่นๆ  ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการขอ มอก.  โดยจะมีการจัดตั้งโชว์รูมแสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์จากยางพารา ของ กยท. ในเร็วๆนี้อีกด้วย  ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดใช้วัตถุดิบยางจากเกษตรกรเป็นหลัก ซึ่งตั้งเป้าที่จะดูดซับปริมาณผลผลิตยางออกจากตลาดได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 400,000 ตัน

 “รัฐบาลได้มุ่งเน้นที่จะสร้างเสถียรภาพให้กับยางพาราด้วยการเพิ่มปริมาณการใช้ยางภายในประเทศ  นอกจากการนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆดังกล่าวแล้ว  ยังได้เร่งขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐ  ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยางพาราในการทำถนนยางพาราซอยซีเมนต์ของหน่วยภาครัฐที่จะต้องทำถนน ซึ่งนอกจากจะเพิ่มปริมาณการใช้ยางได้ในปริมาณที่มากแล้ว ถนนยังมีความทนทานมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น สามารถป้องกันการซึมผ่านของน้ำได้ดี ลดการเกิดฝุ่นอีกด้วย   หรือการนำยางไปทำพื้นสนามกีฬา  ทำฝาย  ทำบล็อกปูถนน  เครื่องมือทางการแพทย์  เป็นต้น”   ประธาน บอร์ด กยท.กล่าวย้ำ