
ศาลเขมรสั่งจำคุก 2 ปี! อดีตบิ๊กฝ่ายค้าน ฐานยุยงปลุกปั่นชายแดน
ศาลเขมรสั่งจำคุก 2 ปี! อดีตบิ๊กฝ่ายค้านพรรค "Nation Power" ฐานยุยงปลุกปั่น ปม! ขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา แถมถูกปรับเงินอีก 2 ล้านเรียล
จากรายงานของสื่อกัมพูชา ขแมร์ไทม์ส เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (26 ธันวาคม 2568) ศาลแขวงกรุงพนมเปญได้มีคำพิพากษาตัดสินจำคุกอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคพลังแห่งชาติ (Nation Power Party - NPP) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ นาย Soeng Heang วัย 46 ปี อดีตประธานคณะกรรมการบริหารเขตพนมพรึกของพรรค NPP โดนนอกเหนือจากโทษจำคุกแล้ว เขายังถูกปรับเงินอีก 2 ล้านเรียล(ราว 15,000 บาท) สำหรับการยุยงปลุกปั่นให้กระทำผิดทางอาญาอุกฉกรรจ์ ภายใต้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 494 และ 495 โดยระบุว่ามีความผิดฐาน "ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายร้ายแรงต่อความมั่นคงทางสังคม"
คดีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากโพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดย วิจารณ์พวกผู้นำ ว่าขาดความรับผิดชอบในเรื่องเกี่ยวกับการตัดสินใจต่างๆในประเด็นชายแดน และกรณีที่ไทยยังคงควบคุมตัวทหาร 18 นายของกัมพูชา พันโทเฮ็ม ซาเรือน รองผู้บัญชาการหน่วยต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ ระบุว่าหลังจากเหตุความขัดแย้งในเดือนกรกฏาคม ซึ่งจำเลยได้แสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ฮุน มาเนต เกี่ยวกับการจัดการปัญหาความขัดแย้งบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยศาลมองว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นการบิดเบือนและจงใจปลุกระดมให้มวลชนลุกขึ้นมาต่อต้านผู้นำประเทศ
การตัดสินจำคุกในครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์กวาดล้างกลุ่มผู้เห็นต่างทางการเมืองในกัมพูชาตลอดช่วงปลายปี 2568 โดยกลุ่มสิทธิมนุษยชนอย่าง Licadho รายงานว่า
มีนักการเมืองฝ่ายค้าน, นักกิจกรรม และประชาชนทั่วไป ถูกจับกุมและดำเนินคดีในข้อหาเดียวกันนี้ (ยุยงปลุกปั่น) จำนวนมากเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ที่ผ่านมา ศาลเพิ่งสั่งจำคุกนักการเมืองฝ่ายค้านและชาวบ้านรวม 3 ราย ในข้อหาเดียวกันนี้ไปก่อนหน้ารายงานชี้ว่ามี "นักโทษทางความคิด" ในกัมพูชาพุ่งสูงขึ้นกว่า 100 รายในปีนี้
ทางด้านพรรคฝ่ายค้านและกลุ่มผู้สนับสนุนมองว่า คำตัดสินดังกล่าวมี "แรงจูงใจทางการเมือง" และเป็นการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือในการปิดปากคู่แข่งทางการเมือง เพื่อป้องกันไม่ให้มีการตั้งคำถามหรือวิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและอธิปไตยเหนือดินแดน สถานการณ์นี้ยิ่งตอกย้ำความตึงเครียดในเวทีการเมืองกัมพูชา ที่กลุ่มผู้เห็นต่างยังคงต้องเผชิญกับมาตรการทางกฎหมายที่เข้มงวดอย่างต่อเนื่อง



