
ประท้วงเนปาล ทวีความรุนแรง "Gen Z" บุกเผารัฐสภา ดับแล้ว 22 ราย
ประท้วงเนปาล ทวีความรุนแรง กลุ่มคนรุ่นใหม่ "Gen Z" ประท้วงต่อต้านทุจริต หลังรัฐบาลแบนโซเชียลมีเดีย บุกเผาอาคารรัฐสภา ดับแล้ว 22 ราย เจ็บอีกหลายร้อย
การประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปีของเนปาล เริ่มต้นจากรัฐบาลสั่งปิดกั้นการเข้าถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ยอดนิยม รวมทั้งสิ้น 26 แพลตฟอร์ม เช่น Facebook, Instagram, YouTube และ X (Twitter) โดยอ้างว่าไม่ได้จดทะเบียนอย่างถูกต้อง และถูกใช้เป็นช่องทางในการเผยแพร่ข่าวปลอม กำหนดเส้นตายวันที่ 3 ก.ย. 2568 โดยเหลือเพียง TikTok, Viber และ WeTalk ลงทะเบียนแล้วจึงยังใช้งานได้ตามปกติ
จากคำสั่ง ปิดกั้นโซเชียลมีเดีย ทำให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ หรือ "Gen Z" ที่ใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้ในการแสดงออกและทำงาน ไม่พอใจการจำกัดเสรีภาพ รวมถึงปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันที่สะสมมาอย่างยาวนาน และการขาดโอกาสในการทำงาน ต่างพากันลุกฮือออกมาประท้วง และทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อวันจันทร์ (8 ก.ย. 2568) โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมด้วยแก๊สน้ำตา และกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุมที่พยายามบุกเข้าไปในรัฐสภา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 22 ราย และบาดเจ็บมากกว่า 400 ราย
9 ก.ย. 2568 เค.พี. ชาร์มา โอลี นายกรัฐมนตรีของเนปาล ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง พร้อมกับรัฐมนตรีอีก 3 คน เพื่อคลี่คลายวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น และรัฐบาลได้ยกเลิกคำสั่งแบนโซเชียลมีเดียแล้ว แต่การประท้วงยังคงดำเนินต่อไป และทวีความรุนแรงขึ้น มีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ชุมนุมทำลายบ้านพักของนักการเมืองระดับสูงหลายคน เช่น ประธานาธิบดีรามจันทรา ปัวเดล และเผารัฐสภา ศาลฎีกาของเนปาล รวมไปถึงสถานที่สำคัญของรัฐบาลหลายแห่ง
ณะเดียวกันมีรายงานว่า บ้านของนางราบี ลักษมี จิตรการ ภริยาอดีตนายกรัฐมนตรีชลนาท คานัล ในเมืองดาลลู ถูกเผาด้วย เธอได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกเร่งนำตัวส่งโรงพยาบากีรติปุระ แต่เสียชีวิตในที่สุด
นอกจากนี้ การประท้วงที่รุนแรงในเนปาลส่งผลให้สนามบินกาฐมาณฑุ ซึ่งเป็นประตูสู่ต่างประเทศหลักของเนปาลต้องปิดบริการอีกด้วย หลังจากได้รับผลกระทบจากการเผายางรถยนต์ของผู้ประท้วงซึ่งอยู่ใกล้กับสนามบิน เสี่ยงสร้างอันตรายต่อความปลอดภัยของเครื่องบิน
สถานการณ์ความไม่สงบนี้เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายสิบปีของประเทศหิมาลัยที่ยากจนที่ตั้งอยู่ระหว่างอินเดียกับจีน และเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจมาตัั้งแต่การประท้วงที่นำไปสู่การยกเลิกระบอบกษัตริย์ในปี 2551
สถานทูตไทยประจำเนปาลประกาศหยุดทำการ หลังเหตุประท้วงรุนแรง
ล่าสุด สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล ประกาศเตือนคนไทยในเนปาล ขอให้หลีกเลี่ยงการเดินทางออกนอกเคหสถาน จากเหตุการณ์การชุมนุมประท้วง ประกาศเคอร์ฟิวในหลายพื้นที่ โดยระบุว่า
ตามที่วานนี้ (9 ก.ย.68) ทางการเนปาลได้ประกาศเคอร์ฟิวในหลายพื้นที่ของ Kathmandu, Lalitpur และ Bhaktapur สืบเนื่องจากเหตุการณ์การชุมนุมประท้วงเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 โดยมีรายละเอียดดังนี้
Kathmandu : ประกาศเคอร์ฟิวตั้งแต่เวลา 08.30 น. เป็นต้นไปจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง ครอบคลุมพื้นที่ภายในถนนวงแหวน (Ring Road) รวมถึงบริเวณสะพาน Balkumari, Koteshwar, Sinamangal, Gaushala, Chabahil, Narayan Gopal Chowk, Gongabu, Balaju, Swayambhu, Kalanki, Balkhu และสะพาน Bagmati
Lalitpur : ประกาศเคอร์ฟิวตั้งแต่เวลา 09.00 น. ถึง 24.00 น. ครอบคลุมบางส่วนของเขต 2, 4, 9, 18 และ 25 รวมถึงพื้นที่ Bhaisepati, Sanepa และ Chyasal.
Bhaktapur : ประกาศเคอร์ฟิวตั้งแต่เวลา 08.30 น. เป็นต้นไปจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง ครอบคลุมพื้นที่ในเขตเทศบาล Madhyapur Thimi, Suryabinayak, Changunarayan และ Bhaktapur
ภายใต้คำสั่งเคอร์ฟิว ห้ามมิให้มีการเคลื่อนไหว การชุมนุม การเดินขบวน หรือกิจกรรมใด ๆ ในพื้นที่ที่กำหนด
ขอให้พี่น้องชาวไทยทุกท่าน หลีกเลี่ยงการเดินทางออกนอกเคหสถานในช่วงเวลาดังกล่าว ติดตามข่าวสารจากทางการเนปาลและสถานเอกอัครราชทูตฯ อย่างใกล้ชิด และเพิ่มความระมัดระวังด้านความปลอดภัย
ต่อมา สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกาฐมาณฑุ โพสต์แจ้งว่า ตามที่ได้มีการประกาศใช้เคอร์ฟิว ในพื้นที่ถนนวงแหวนกรุงกาฐมาณฑุ มีผลตั้งแต่วันที่ 9 ก.ย.68 เวลา 08.30 น.เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกาฐมาณฑุ จึงขอปิดทำการชั่วคราว โดยหยุดให้บริการกงสุลทุกประเภท รวมทั้งการชำระค่าธรรมเนียมวีซ่า จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง