ข่าว

ว่าที่ทูตมะกัน เตือนไทย! สงครามชายแดนไร้ประโยชน์ กระทบพันธมิตร

ว่าที่ทูตมะกัน เตือนไทย! สงครามชายแดนไร้ประโยชน์ กระทบพันธมิตร

30 ก.ค. 2568

ว่าที่ทูตมะกันคนใหม่ "ฌอน โอนีล" ส่งสัญญาณเตือนไทย! ชี้! ปมขัดแย้งกัมพูชาสูญเสียเปล่าประโยชน์ แถมไม่ช่วยเสริมความสัมพันธ์สหรัฐฯ

เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา ในระหว่างการให้การต่อวุฒิสภาเพื่อขอการรับรองตำแหน่ง เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยคนใหม่ นายฌอน โอนีล ได้ส่งสารเตือนมายังรัฐบาลไทยอย่างตรงไปตรงมา โดยเขาระบุว่าหากได้รับการแต่งตั้ง เขาจะเน้นย้ำให้ไทยตระหนักว่าความขัดแย้งชายแดนกับกัมพูชาที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้น เป็นการ "สูญเสียชีวิตและทรัพย์สินโดยเปล่าประโยชน์" และไม่ได้ช่วยเสริมสร้างความเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ แต่อย่างใด

 

 

ว่าที่ทูตมะกัน เตือนไทย! สงครามชายแดนไร้ประโยชน์ กระทบพันธมิตร

 

สำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนักรายงานตรงกันว่า การที่ผู้นำไทยและกัมพูชาได้พบกันที่มาเลเซียและตกลงหยุดยิงได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นการยุติความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษนั้น เกิดขึ้นหลังจากที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเตือนผู้นำของทั้งสองประเทศในช่วงสุดสัปดาห์ก่อนหน้าอย่างชัดเจนว่า การเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ จะไม่มีความคืบหน้า หากการสู้รบยังคงดำเนินต่อไป

เมื่อถูกถามถึงแนวทางที่จะทำให้การหยุดยิงนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน นายโอนีลกล่าวว่า "สิ่งแรกที่ผมจะทำคือการชี้ให้ประเทศไทย ได้เข้าใจว่าสงครามและความขัดแย้งเช่นนี้ ไม่ได้ช่วยเหลือประชาชนของพวกเขาเลย มันไม่ได้ช่วยเสริมสร้างความเป็นพันธมิตรของเรา" ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ที่ต้องการเห็นสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค

 

นอกจากประเด็นความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาแล้ว นายโอนีลยังได้กล่าวถึงท่าทีของไทยต่อสถานการณ์ในเมียนมาอย่างแข็งกร้าว โดยระบุว่าประเทศไทย ไม่ควรให้ความชอบธรรมแก่รัฐบาลทหารเมียนมา และไม่ควรรับรองการเลือกตั้งที่ไม่มีส่วนร่วมของประชาชนกว่า 50% ของประเทศ ในขณะที่ผู้นำฝ่ายค้านส่วนใหญ่ยังคงถูกจองจำอยู่ในคุก ซึ่งเขายืนยันว่าจะผลักดันประเด็นนี้อย่างจริงจังหากได้รับการแต่งตั้ง

 

ว่าที่ทูตมะกัน เตือนไทย! สงครามชายแดนไร้ประโยชน์ กระทบพันธมิตร

 

 

คำกล่าวของนายโอนีลสะท้อนถึงท่าทีที่แข็งกร้าวของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่พร้อมใช้มาตรการทางเศรษฐกิจและการทูตเพื่อกดดันประเทศพันธมิตรให้ปฏิบัติตามหลักการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สหรัฐฯ กำลังเพิ่มบทบาทและอิทธิพล 

 

 

ที่มา  channelnewsasia  reuters