ข่าว

เปิดบทสัมภาษณ์ หลี่ เหวินเลี่ยง หมอเตือนภัยไวรัสก่อนสิ้นลม

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

บทสัมภาษณ์หมอหลี่ เหวินเลี่ยง เมื่อ 30 ม.ค. ก่อนเสียชีวิตในอีก 8 วันต่อมา จากเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ที่พยายามเตือนตั้งแต่แรกๆ แต่ถูกลงบันทึกว่าเป็นคนแพร่ข่าวลือ

 

 

ประเด็นร้อนท่ามกลางวิกฤติไวรัสโคโรน่าระบาด ก็คือการสูญเสีย จักษุแพทย์ หลี่ เหวินเลี่ยง แพทย์ประจำโรงพยาบาลกลางอู่ฮั่น ผู้จากไปในวัยเพียง 34 ปี หลังป่วยจากติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ที่เขาเป็นคนแรกๆที่เตือนภัย ตั้งแต่ยังไม่มีการระบุชื่อว่าเป็นเชื้ออะไร หลังจากพบว่ามีผู้ป่วยปอดอักเสบอาการคล้ายกับโรคซาร์ส เข้ารพ. มากผิดปกติ และถูกแยกรักษา

 

 

 


ไวรัสโคโรน่าคร่าหมออู่ฮั่นที่ออกมาเตือนคนแรกๆแต่ถูกปิดปาก
 

 
แต่การเตือนด้วยการส่งข้อความเข้าไปในกลุ่มแชทเพื่อนร่วมรุ่น บนแอปพลิเคชัน WeChat เมื่อ 30 ธ.ค. ว่าแผนกจักษุที่รพ.ของเขา พบผู้ป่วย 7 รายที่เกี่ยวโยงกับตลาดอาหารทะเลในท้องถิ่น อาการคล้ายกับโรคซาร์ส  เกิดหลุดออกมาข้างนอก และถูกตำรวจเรียกไปปรับทัศนคติ บังคับให้ลงชื่อในเอกสารตักเตือนว่า อย่าแพร่ข่าวอันเป็นเท็จอีก 

เชื่อว่าหมอหลี่ เป็น 1 ใน 8 ชาวเมืองอู่ฮั่น ที่ CCTV สื่อทางการจีน รายงานเมื่อ 1 ม.ค.ว่า ถูกตำรวจลงโทษฐานปล่อยข่าวลือ 

การเสียชีวิตของนายแพทย์หนุ่มรายนี้จุดกระแสโกรธแค้นในโลกออนไลน์ของจีน และประณามเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างรุนแรง ปรากฏการณ์ที่น้อยครั้งจะเห็นในโลกไซเบอร์แดนมังกร  ร้อนถึงคณะกรรมการกลางการตรวจสอบวินัยของพรรคคอมมิวนิสต์จีน  ที่ส่งทีมงานลงพื้นที่เมืองอู่ฮั่น เพื่อตรวจสอบทุกประเด็นที่เกี่ยวข้องกับนายแพทย์หนุ่มรายนี้แล้ว 

 

 

 

หมออู่ฮั่นคารวะหมอหลี่ เหวินเลี่ยง / ภาพจากผู้สื่อข่าว Caixin 


ก่อนพ่ายไวรัสร้ายเมื่อเช้ามืด 7 ก.พ. สำนักข่าว Caixin  ได้สัมภาษณ์จักษุแพทย์ท่านนี้เผยแพร่บนเวบไซต์เมื่อ 30 มกราคม  ซึ่งในวันนั้น หมอหลี่บอกอาการไม่ดีนัก หายใจลำบากและยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ไม่อยากอาหาร  แต่ผลตรวจยังเป็นลบ 


จากนั้นได้เล่าถึงการส่งข้อความเตือนโรคปริศนาว่า  “ผมส่งข้อความเข้าไปในกลุ่มแชทที่มีสมาชิกเป็นเพื่อนร่วมรุ่น 150 คน ย้ำว่าอย่านำข้อความนี้ออกไปข้างนอก ผมอยากเตือนเพื่อนที่ทำงานในแนวหน้าให้ป้องกันตัวเอง ผมรู้เรื่องนี้ผ่านการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน กังวลว่าอาจเป็นโรคระบาด แต่เคสยืนยันยังน้อยอยู่ในเวลานั้น ผมกังวลเพราะเชื้อไวรัสนี้คล้ายกับอาการโรคซาร์ส   

 

 


หมายถึง ไวรัสแพร่จากคนสู่คนเหมือนซาร์ส ? 


ค่อนข้างชัดว่าเป็นการแพร่จากคนสู่คน ผมเห็นคนไข้ติดเชื้อไวรัสหลายคน เมื่อราววันที่ 8 ม.ค.  และหนึ่งในคนไข้ของเราที่เข้ารพ.รักษาต้อกระจก ไม่อยากอาหาร อุณหภูมิร่างกายสูงผิดปกติ เราไม่ได้ตระหนักว่ามีอะไรผิดปกติในเวลานั้น แต่เธอยังรับประทานไม่ค่อยได้หลังจากตาหายดีแล้ว และมีไข้ ผลซีทีสแกนพบปอดติดเชื้อ อาการทุกอย่างสอดคล้องกับปอดอักเสบปริศนาในตอนนั้น 


วันเดียวกับที่เธอมีไข้  คนในครอบครัวของเธอก็มีไข้ บ่งว่าเป็นการแพร่จากคนสู่คน เรารายงานให้รพ.รับทราบ เชิญหมออาวุโสมาที่รพ.เพื่อสอบสวน ก่อนแนะนำให้กักโรค ผลซีทีสแกนในอีก 3 วันต่อมา พบการติดเชื้อลุกลาม จึงแยกรักษาในหอผู้ป่วยทางเดินหายใจ ผมไม่รู้ว่าหลังจากนั้น เธอเป็นอย่างไรบ้าง 

 

เปิดบทสัมภาษณ์ หลี่ เหวินเลี่ยง หมอเตือนภัยไวรัสก่อนสิ้นลม

Bill Bishop 
 

 

หากมีสัญญาณแพร่เชื้อคนสู่คน ทำไมจำนวนติดเชื้อจึงน้อยในเวลานั้น 


ผมคิดว่าการตรวจวิเคราะห์โรคในขณะนั้น ไม่ง่าย  ชุดตรวจไม่มี แม้ว่าไวรัสตรวจได้ด้วยวิธีที่เรียกว่า เอ็นอาร์เอ เทสต์ แต่ก็ซับซ้อนและใช้เวลา 


การติดเชื้อของคุณเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยคนนั้นหรือไม่ 


ตอนแรก ผมไม่ได้ใช้อุปกรณ์ป้องกัน  ผมเริ่มไอและมีไข้ หลังจากนั้น ผมเริ่มสวมหน้ากาก N95  

วันที่ 12 ม.ค. ผมตรวจไวรัสในระบบทางเดินหายใจและทำซีทีสแกน ผลออกมาน่าสงสัยว่าติดเชื้อไวรัสโคโรน่า เพื่อนร่วมงานของผมก็มีอาการคล้ายกันในเวลาต่อมา หลังจากนั้น 3-4 วัน พ่อแม่ของผมก็ป่วย อาการของผมทรุดลง ตอนนี้ ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ยาต้านไวรัส ฉีดโกลบูลิน และให้ออกซิเจนเพิ่มทุกวัน    

 


ต้องจ่ายค่ารักษาไหม 


ผมจ่ายค่าฉีดสารแอนตีบอดี อิมมูโนโกลบูลินเอง นอกจากนี้ ได้รับการช่วยเหลือจากร้านยาและเพื่อนสมัยเรียน ราว 5 หมื่น – 6 หมื่นหยวน ไม่แน่ใจว่าค่าใช้จ่ายพวกนี้อยู่ในประกันหรือไม่ 


รู้สึกอย่างไรตอนที่รู้ว่าคำเตือนของคุณออกไปสาธารณะ 


คืนนั้น ผมได้รับข้อความบน WeChat ไถ่ถามเรื่องภาพแคปหน้าจอข้อความของผมเองก่อนหน้านั้น ส่วนใหญ่เป็นข้อความแบบไม่สมบูรณ์  มีข้อความที่ผมเอ่ยถึงผู้ป่วยอาการคล้ายโรคซาร์ส 7 ราย แต่ข้อความส่วนที่ย้ำเป็นไวรัสโคโรน่าชนิดที่ต้องได้รับการยืนยัน ไม่ได้รวมอยู่ในภาพหน้าจอที่ถูกแชร์ต่อๆกันไป  ผมคิดว่าคงมีเรื่องแน่เพราะเป็นข้อมูลอ่อนไหว และเป็นช่วงเวลาอ่อนไหวเพราะเมืองอู่ฮั่นกำลังมีประชุมสภาประจำปี  ตอนแรก ผมโกรธ ที่คนเหล่านั้นแพร่ข้อความออกไปโดยไม่ปิดตัวตนผมเลย แต่ต่อมาก็เข้าใจว่าพวกเขาเองก็เป็นห่วงครอบครัวและเพื่อนฝูง 


ถูกลงโทษเพราะเรื่องนั้นหรือไม่ 


หลังจากข้อความการเตือนแพร่ไปทั่ว คณะกรรมการสุขภาพของเทศบาลอู่ฮั่น เรียกประชุมเวลา 1.30 น. ผมเองก็ถูกรพ.ขอให้อธิบาย เมื่อไปถึงออฟฟิศในเช้าวันนั้น  เจ้าหน้าที่ฝ่ายวินัยของรพ.ได้พูดคุยกับเขาอีกครั้ง ถามที่มาของข้อมูล และถามว่าผมตระหนักหรือไม่ว่าทำผิดพลาด  


แต่ผมไม่คิดว่าตำรวจจะตามตัว  ในวันที่ 3 ม.ค. พวกเขาบอกให้ผมลงชื่อในเอกสารตักเตือน ผมไม่เคยมีปัญหากับตำรวจมาก่อน จึงรู้สึกกังวล ผมเดินทางไปลงชื่อโดยไม่บอกที่บ้าน ผมวิตกว่ารพ.จะลงโทษด้วยและกระทบหน้าที่การงาน ต่อมา เพื่อนสมัยเรียนคนหนึ่งรู้เรื่อง จึงแนะนำไปให้ผมคุยกับนักข่าวคนหนึ่ง 


ในหนังสือตักเตือน ตำรวจระบุว่าคุณเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จในโลกออนไลน์ ในตอนนั้นบางคนคิดว่าคุณแพร่ข่าวลือ 


ผมไม่คิดว่ามันเป็นข่าวลือ เพราะผลตรวจออกมาค่อนข้างชัดว่า เหมือนโรคซาร์ส  ผมแค่อยากเตือนเพื่อนๆไม่ให้ตื่นตระหนก

 

 
เมื่อไม่คิดว่าเป็นช่าวลือ เคยคิดใช้กฎหมายกู้ชื่อเสียงหรือไม่ 


ไม่ ผมกลัวว่าการใช้กฎหมายจะกลายเป็นปัญหาตามมา ไม่อยากมีเรื่องกับตำรวจอีก ผมไม่อยากยุ่งยาก การกู้ชื่อเสียง ไม่สำคัญกับผม สำคัญกว่าคือประชาชนควรรู้ข้อเท็จจริง ความยุติธรรมอยู่ในใจของพวกเขาอยู่แล้ว บางคนคิดว่าผมถูกถอนใบประกอบโรคศิลป์ ซึ่งขอแจ้งตรงนี้ว่าไม่เป็นความจริง   

 


เมื่อ 28 มกราคม ศาลสูงสุด  เผยแพร่ความเห็นบนบัญชีผู้ใช้ WeChat  ว่า การลงโทษชาวเมืองอู่ฮั่น 8 คน ( ไม่ได้ระบุชื่อว่าหมอหลี่ เหวินเลี่ยง เป็นหนึ่งในนั้นหรือไม่ )  ฐานแพร่ข่าวลือ ไม่เหมาะสม (เพราะข้อมูลเหล่านั้นไม่ได้เป็นเท็จทั้งหมด) คุณคิดอย่างไรกับบทความนี้    


หลังจากที่ได้อ่านบทความของศาลสูง ผมรู้สึกโล่งใจ และไม่กังวลแล้วว่ารพ.จะดำเนินการกับผมอย่างไร ผมเชื่อว่าในสังคมที่เข้มแข็ง ควรมีมากกว่าเสียงเดียว ผมไม่เห็นด้วยกับการใช้อำนาจแทรกแซงมากเกินไป ผมยังเห็นด้วยกับบทความศาลสูงที่ว่า ควรพิจารณาการแพร่ข่าวลือเป็นรายๆไป  ผมไม่สนใจมากนักว่า ผมเป็น 1 ใน 8 นี้หรือไม่ เพราะโพสต์ที่ถูกแชร์มากที่สุดในโลกออนไลน์และถูกยกมาในบทความของศาลสูง ก็คือภาพหน้าจอโพสต์ดั้งเดิมของผมเอง 


บางคนเรียกคุณว่า คนแฉความลับ (whistle-blower) 


ผมไม่คิดว่าควรได้ตำแหน่งนี้ ผมแค่รู้ข้อมูล และเตือนเพื่อน ไม่คิดอะไรมากขนาดนั้น ในเวลานั้น 


แผนต่อไปจะทำอะไร


หลังหายป่วยแล้ว ผมยังอยากกลับไปอยู่แนวหน้า เวลานี้ โรคระบาดยังแพร่ ผมไม่อยากทิ้งหน้าที่ 


ครอบครัวของคุณล่ะ 


ภรรยาของผม อยู่ที่บ้านพ่อแม่ของเธอในอีกเมืองหนึ่ง เธอกลับมาไม่ได้ เพราะอู่ฮั่นปิดเมือง พ่อแม่ของผมน่าจะออกจากรพ.ได้ในไม่ช้า แต่ผมยังหาคนไปช่วยเหลือพวกท่านไม่ได้  โดยรวมพวกท่านสุขภาพดี และน่าจะดูแลตัวเองได้หลังจากนั้น  

 

ฉบับเต็ม Chinese whistle-blower doctor who died fighting coronavirus only wanted people to 'know the truth'

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ