บันเทิง

จาก NETFLIX ถึง DISNEY PLUS โมเดลหนัง 5.0 (ตอนจบ)

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

คอลัมน์...  ข้าวโพดคั่วกับตั๋วหนัง  โดย... คอนแทค เลนส์

 


          ในยุค TECHNOLOGY DISRUPTIVE หนึ่งในธุรกิจที่ประสบปัญหาไม่น้อยหน้าอุตสาหกรรมใดก็คือธุรกิจบันเทิง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมภาพยนตร์

 

          แม้หลายคนจะมองว่าธุรกิจบันเทิงไม่น่าจะประสบปัญหายุ่งยากอะไรมากนัก เพราะเป็นอุตสาหกรรมขายความสุข ที่ผู้บริโภคควักกระเป๋าจ่ายไม่ยากไปกับการเสพละคร ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ เพื่อคลายเครียด

 


          ทว่า ในความเป็นจริงแล้ว ธุรกิจบันเทิงก็ต้องต่อสู้ดิ้นร้นไม่แพ้อุตสาหกรรมอื่นๆ เช่นกัน โดยเฉพาะในยุค TECHNOLOGY DISRUPTIVE นี้


          มองไปที่วงการละคร YOUTUBE THAILAND เคยเปิดผลสำรวจที่เขย่าจอโทรทัศน์ออกมาว่า ผู้ชมชาวไทยจำนวน 61% ดู YOUTUBE มากกว่าโทรทัศน์

 

          วงการเพลงยิ่งทรุดหนักเมื่อยอดขาย CD ที่ตกต่ำฉุดร้านเทปให้ทยอยปิดตัวไปทีละรายไม่ว่าจะเจ้าเล็กเจ้าใหญ่อย่าง B2S ถึงกับประกาศปิดแผนก CD เพลง

 

          เพราะพฤติกรรมการฟังเพลงของวัยรุ่นซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของอุตสาหกรรมดนตรี หันไปฟังเพลงออนไลน์ผ่านระบบ STREAMING ทั้งบน YOUTUBE และ PLATFORM ฟังเพลงอื่นๆ อาทิ JOOX DEEZER SPOTIFY


          สื่อสิ่งพิมพ์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นอกจากจะมีข่าวนิตยสารปิดตัวเดือนละหัวสองหัว ยอดขายหนังสือเล่มยิ่งลงเหว เนื่องจากคน GENERATION ใหม่นิยมอ่านอะไรสั้นๆ บนมือถือ


          ทำไปทำมา ดูเหมือนจะเหลือธุรกิจบันเทิงเพียงหนึ่งเดียวที่น่าจะได้รับผลกระทบจาก TECHNOLOGY DISRUPTIVE น้อยที่สุด นั่นคืออุตสาหกรรมภาพยนตร์

 

          เพราะแม้ว่าช่องทางการขายแผ่น DVD จะหดตัวอย่างรุนแรงจากการมาถึงของการดูหนังออนไลน์ผ่านระบบ STREAMING แต่อย่างน้อย ธุรกิจหนังก็ยังมีหลังพิงที่แข็งแกร่งคือโรงภาพยนตร์ ที่คนดูต้องยอมออกจากบ้านมาตีตั๋วเพื่อเข้าชมหนังที่อยากดู จากเงื่อนไขของบรรดาค่ายหนังที่จับมือกันแน่น และไม่ยอมลดราวาศอกให้แก่ธุรกิจดูหนังออนไลน์

 

 



          กระนั้นก็ดี ยังมีบริษัทภาพยนตร์ STREAMING ค่ายหนึ่งพยายามฉีกกฎเกณฑ์นี้ทิ้งอย่างไม่ไยดี ทั้งที่ถูกสหบาทารุมสกรัมทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นข้อกำหนดของการเข้าชิงรางวัลหนังประจำปีหลักๆ ของโลก หรือการเตะถ่วงไม่ปล่อยลิขสิทธิ์หนังให้ไปฉายผ่านระบบ STREAMING ง่ายๆ ค่ายภาพยนตร์ดังกล่าวมีชื่อว่า NETFLIX ดังที่เขียนถึงไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั้น


          ล่าสุด WALT DISNEY เปิดตัว DISNEY+ หรือ DISNEY PLUS ซึ่งเป็นบริการชมภาพยนตร์ออนไลน์รูปแบบเดียวกับ NETFLIX โดย DISNEY+ ประกาศว่า CONTENT ทั้งหมดที่ DISNEY ถือลิขสิทธิ์อยู่ ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูน WALT DISNEY PIXAR MARVEL STARWARS FOX และ NATIONAL GEOGRAPHIC จะไม่อนุญาตให้ NETFLIX เอาไปฉาย


          จึงถือได้ว่า DISNEY+ เป็นคู่แข่งตัวฉกาจของ NETFLIX ในยุค TECHNOLOGY DISRUPTIVE อย่างแท้จริง


          ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอนาคตของทั้ง DISNEY+ และ NETFLIX จะเป็นเช่นไรต่อไป จะเดินหน้าฆ่าโรงหนังให้ตายเหมือนที่ตั้งใจไว้ หรือจะพากันไปกอดคอกันตาย เป็นหน้าที่ของนักวิเคราะห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฟนภาพยนตร์จะเป็นผู้ให้คำตอบอย่างแน่นอนครับ

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ