Lifestyle

"มหิดล"ผนึกกําลัง"รีเสิร์ชเอ็กซ์"ลงนามขับเคลื่อนพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ภายใต้ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"มหิดล"ผนึกกําลัง"รีเสิร์ชเอ็กซ์"ลงนามขับเคลื่อนพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ภายใต้ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี

         
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และบริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ จํากัด จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัย “การ พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ภายใต้ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี” ณ ห้องประชุมพิทยา จารุพูนผล ชั้น 5 อาคารเทพนม เมืองแมน คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ถนนราชวิถี เขตราชเทวี กรุงเทพฯ

         

จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลก ที่ส่งผลกระทบทั้งด้าน เศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน การพัฒนาองค์ความรู้ ตลอดจนเทคโนโลยีใหม่ๆ ทางด้านการแพทย์และสุขภาพ ถือเป็นเรื่องสําคัญและมีความจําเป็นอย่างยิ่งดังนั้นจึงเกดิความร่วมมือในการลงนามร่วมกันภายในเครือข่ายย่าน นวัตกรรมการแพทย์โยธี ที่มุ่งสร้างต้นแบบเครือข่ายความร่วมมือ เพื่อนวัตกรรมการแพทย์ของประเทศ รัฐบาลจึง มีนโยบายที่จะพัฒนาย่านนี้ให้เป็นพื้นที่ต้นแบบในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพและนวัตกรรมทางการแพทย์ ภายใต้ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธีขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นจากความร่วมมือของ 2 กระทรวงคือ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงสาธารณสุข


ด้วยเหตุนี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ จํากัด จึงจับมือกันร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการ วิจัย “การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ภายใต้ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี” เพื่อร่วม ดําเนินการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพประชาชน การสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ การ สร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ และการมีส่วนร่วมแบบโปร่งใส เพื่อเป้าหมายของการ “อยู่ เป็น สุข” และ ร่วมมือกันผลักดันผลงานวิจัยนวัตกรรม เพื่อสร้างมูลค่าให้เกิดทรัพย์สินทางปัญญาจากหิ้งสู่ห้าง ยกระดับมาตรฐาน การดูแลสุขภาพและการพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพตามแผนยุทธศาสตร์ของชาติ Thailand 4.0 ในการพัฒนา
        

"มหิดล"ผนึกกําลัง"รีเสิร์ชเอ็กซ์"ลงนามขับเคลื่อนพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ภายใต้ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี

 

ประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) พร้อมทั้งขับเคลื่อนการวิจัยค้นคว้าและพัฒนา ผลิตภัณฑ์และบริการภายใต้องค์ความรู้ “อยู่ เป็น สขุ ” (V Wellbeing) ส่งเสริมงานวิจัยนวัตกรรมให้เกิดการต่อ ยอดสู่เชิงพาณิชย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก ดร.ชะนวนทอง ธนสุกาญจน์ คณบดีคณะ สาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดงานและเป็นผู้แทนลงนาม พร้อมทั้งรอง ศาสตราจารย์ธราดล เก่งการพานิช คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมเป็นพยานในการลงนาม และได้รับเกียรติจาก นายภาคภูมิ เพิ่มมงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ จํากัด ให้เกียรติเป็นผู้แทน ร่วมลงนาม พร้อมทั้งคุณนิตยา บุญเป็ง ผู้ประสานงานวิจัยเชิงพาณิชย์ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ จํากัด ร่วมเป็นพยาน ในการลงนาม โดยเป็นผู้แทนของรองศาสตราจารย์ ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก ที่ปรึกษาด้านกฏหมายและทรัพย์สินทาง ปัญญา บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ จํากัด
        

ดร.ชะนวนทอง ธนสุกาญจน์ คณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “ความ ร่วมมือของคณะสาธารณสุขฯ กับ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ จํากัด สืบเนื่องมาจากแผนงานของเราทั้งสองฝ่ายนั้น นอกจากจะตอบโจทย์ Health Literacy ซึ่งมีหัวใจสําคัญ คือ เข้าถึง เข้าใจ โต้ตอบ ซักถาม แลกเปลี่ยน ตัดสินใจ เปลี่ยนพฤติกรรม และบอกต่อ ตามนโยบายของสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่ คํานึงถึงสุขภาพของประชาชน คณะสาธารณสุขฯ ของเรายังต้องการองค์กรที่จะมาช่วยตอบโจทย์ด้านนวัตกรรม ดิจิทัลให้กับเราด้วย นั่นก็เพราะคณะสาธารณสุขฯ ของเราสามารถเป็นนวัตกรรมสังคมให้กับผู้คนได้ด้วยตัวเอง แต่ เรายังขาดองค์กรที่จะมาต่อยอดนวัตกรรมด้านดิจิทัลและไอทีที่สามารถเข้ากับ Health Literacy ของคนทั่วไปได้ แบบง่ายๆ ทางบริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ฯ มาเสนอแผนงานให้เราเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราจึงเลือกที่จะลงนามความ ร่วมมือด้วย”
         

ดร.ชะนวนทอง บอกอีกว่า “การที่ตัดสินใจลงนามร่วมมือกับ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ฯ สิ่งสําคัญอีกประการก็คือ การมีค่านิยมร่วมที่ตรงกันของทั้งสองฝ่าย ซึ่งไม่ใช่ธุรกิจที่วัดเพียงตัวเงิน หรือรายได้เท่านั้น แต่เป็นธุรกิจที่สร้าง มูลค่าให้กับสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่ตีค่าไม่ได้ อีกอย่างบริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ฯ ไม่ได้เอางานวิจัย หรือนวัตกรรมที่มีมาขาย แต่นํามาเพื่อพัฒนาร่วมกัน ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างมูลค่าให้กับทุกคน และช่วยลดช่องว่างระหว่างฐานะได้ นี่คือ หลักการของงานสาธารณสุขที่เห็นประโยชน์ต่อส่วนรวมเป็นสําคัญ”
     

 

“ดิฉันมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า การลงนามร่วมมือกันในครั้งนี้ นอกจากจะตอบโจทย์ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว ยัง ช่วยสร้างงานสร้างรายได้ให้กับทุกคนอีกด้วย เพราะยุคนี้คําว่า สุขภาพกับเศรษฐกิจต้องเดินควบคู่กันไป ยิ่งในช่วง โควิด-19 ระบาดนี่ยิ่งสําคัญ เนื่องจากเราจะอยู่คนเดียวในสังคมไม่ได้ เราต้องพึ่งพากัน และมองไปในทางบวก ดิฉัน มองว่านักธุรกิจก็เปรียบเสมือนเพื่อนร่วมทางที่ต้องเดินไปด้วยกัน ยิ่งงานวิจัยที่ทําให้สังคมดีขึ้น เรายิ่งต้องส่งเสริม สนับสนุน แต่ต้องทําด้วยความระมัดระวัง และทําด้วยความโปร่งใส เพื่อให้ผลที่ได้ออกมาดีที่สุดสําหรับทุกคน เพราะงานสาธารณสุขไม่ได้อยู่แค่ในโรงพยาบาลเท่านั้น แต่อยู่ในชีวิตประจําวันของเราทุกคนด้วย อย่างโครงการ ‘สูงเนินโมเดล’ ที่ดิฉันเคยทําที่ จ.นครราชสีมา ที่เริ่มต้นเมื่อปี 2561 จนมาถึงปัจจุบันนี้ เชื่อมั้ยว่าเราสามารถช่วย ให้มีผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่สูงเนินน้อยลงอย่างมาก เพราะทุกคนที่เข้าร่วมได้รับความรู้และหันมาดูแลใส่ใจสุขภาพ ตัวเองอย่างจริงจังนั่นเอง”


ดร.ชะนวนทอง พูดถึงแนวคิด ‘อยู่ เป็น สขุ ’ หรือ V Wellbeing ว่า V หมายถึง เราทุกคน ที่ต้องเข้าถึง และเข้าใจข้อมูลในเรื่องการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง และคําว่า Wellbeing หมายถึง สุขทั้งในและนอก อยู่ตรงไหนก็ สุข เพราะรู้ว่าตัวเองกําลังทําอะไร และรู้ว่าเพื่อน หรือครอบครัวเราทําอะไร คือต้องอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของ ตัวเองได้ เพราะเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป เราก็จะสามารถอยู่กับการเปล่ียนแปลงได้อย่างมีความสุข

 

“สําหรับแนวคิดในการขับเคลื่อน หรือผลักดันงานวิจัยด้านสุขภาพ ตามความคิดของดิฉัน คือ การแชร์ ความรู้ให้กันและกันนั้นมีความสําคัญอย่างยิ่ง ซึ่งตรงกับหลักการของ Health Literacy ที่สุดเลย เพราะทุกคนเป็น หมอด้วยตัวเองในเรื่องสุขภาพได้ ฉะนั้น ก่อนที่จะเจ็บป่วย เราต้องรู้วิธีป้องกัน หรือเมื่อเจ็บป่วยแล้ว เราต้อง สามารถพูดคุยกับหมอที่โรงพยาบาลรู้เรื่อง นี่คือสิ่งที่คณะสาธารณสุขฯ ลุกขึ้นมาขับเคลื่อนและผลักดัน เพื่อทําให้ ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสมอภาคในเรื่องสุขภาพที่ดีอย่างเท่าเทียมกัน”
         

ด้าน นายภาคภูมิ เพิ่มมงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ จํากัด พูดถึงความเป็นมาของการ จับมือร่วมกันทํางานด้านวิจัยให้ฟังว่า “เนื่องจากย่านโยธีเป็นพื้นที่ ที่เน้นในเรื่องนวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ความเป็นมาที่ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ฯ ได้มาร่วมมือกับคณะสาธารณสุขฯ ม.มหิดล เนื่องมาจาก ประเทศไทยของเรานั้น เป็นจุดหมายด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่ถือเป็นอันดับ 1 ของโลก ด้วยบริการที่ดีกว่า และราคาที่เป็นมิตร เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ แล้ว เมืองไทยจึงได้เปรียบ สิ่งสําคัญอีกอย่างก็คือ บ้านเรามีสถานที่ ท่องเที่ยวที่สามารถเป็นที่พักฟื้นให้ผู้ป่วยซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก จะไปภูเขา หรือทะเลก็เดินทางแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น แถมค่าครองชีพในบ้านเรายังไม่สูงมาก รัฐบาลจึงต้องการโปรโมทเรื่องนี้ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพราะนอกจากธุรกิจ
       

"มหิดล"ผนึกกําลัง"รีเสิร์ชเอ็กซ์"ลงนามขับเคลื่อนพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ภายใต้ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี

 

เกี่ยวกับการแพทย์อย่างโรงพยาบาลแล้ว ยังเป็นการกระจายรายได้ไปสู่ธุรกิจอื่นๆ เช่น สปา และเวลเนส ซึ่งบ้าน เรามีชื่อเสียงเป็นอย่างดีอยู่แล้วทั่วทุกภูมิภาคของไทย พอเรานําโครงการนี้มาเสนอกับท่านคณบดีคณะสาธารณสุข ฯ ท่านก็เห็นด้วยทันที เพราะเป็นสิ่งที่คณะสาธารณสุขฯ ต้องการจะผลักดันในเรื่องนี้อยู่แล้ว”


นายภาคภูมิ บอกว่า “บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ฯ เคยเซ็นสัญญาลงนามความร่วมมือกับโรงพยาบาลและ สถาบันการแพทย์ชั้นนํามาก่อนแล้ว ซึ่งเป็นความร่วมมือกันในการพัฒนา นวัตกรรมการแพทย์เชิงป้องกัน (Preventive Healthcare) ดังนั้น เมื่อลงนามกับคณะสาธารณสุขฯ ม.มหิดล ก็จะเน้นนโยบาย ‘การป้องกัน’ ซึ่ง จะช่วยลดทั้งค่ายา ค่ารักษา และค่าเครื่องมือแพทย์ เป็นการช่วยประหยัดงบประมาณให้กับรัฐบาลได้อีกทางหนึ่ง เพราะต่อให้คุณเป็นคนร่ํารวยมีเงินเยอะ แต่ถ้าคุณต้องมาเจ็บป่วยบ่อยๆ คุณก็ไม่มีความสุขแน่นอน ดังนั้น มา หาทางป้องกันไว้ก่อนเป็นการดีที่สุด”
         

“สําหรับบทบาทของ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ฯ เราถือว่าเราเป็นบริษัทเอกชนรายแรกๆ ที่สํานักงานนวัตกรรม แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งเป็นสถาบันที่ก่อตั้ง โดยรัฐบาลได้ชวนเรามาร่วมมือด้วย ด้วยความที่บริษัทเราได้รับการสนับสนุนด้านนวัตกรรมมาโดยตลอด 11 ปี ทั้ง ทุนวิจัย ทั้งการประชาสัมพันธ์งานวิจัย ซึ่งทั้งหมดเป็นการนํางานวิจัยจากบนหิ้งไปสู่ห้าง พูดง่ายๆ ว่าเป็นการนํา งานวิจัยต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ เมื่อ NIA ต้องการสนับสนุนงานวิจัยให้มีอิมแพคมากขึ้น NIA จึงมีนโยบายในการ สนับสนุนให้เกิดย่านนวัตกรรม อย่างที่ได้บอกไว้ว่า ประเทศไทยเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์อันดับ 1 ของโลก ฉะนั้น ย่านนวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพโยธีจึงเหมาะสมมาก เพราะมีโรงพยาบาลและสถาบันวิจัย การแพทย์ตั้งอยู่เยอะอยู่แล้ว”
           

"มหิดล"ผนึกกําลัง"รีเสิร์ชเอ็กซ์"ลงนามขับเคลื่อนพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ภายใต้ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี

 

“รูปแบบการทํางานของเรา คือ จะต้องคุยกับนักวิจัยก่อน ว่างานวิจัยไหนสามารถต่อยอดในเชิงพาณิชย์ ได้บ้าง เช่น ถุงเท้าสําหรับผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยูเรีย ชิ้นนี้เป็นงานวิจัยที่บริษัทเราทําขึ้นมา คุณสมบัติ คือ ถุงเท้านี้ จะช่วยลอกผิวหนังเท้าของผู้ป่วยเบาหวานให้หลุดร่อนออกมาโดยง่าย เพื่อไม่ให้ผิวหนังบริเวณเท้าเกิดแผลกดทับ แล้วลามเป็นแผลไม่หายจนถึงขั้นผู้ป่วยต้องตัดขา หรือจะเป็นนวัตกรรมวัสดุเส้นใยชีวภาพขึ้นรูปจากน้ํามะพร้าวที่ นํามาทําเป็นแผ่นมาส์กหน้าส่งไปขายที่เกาหลี ซึ่งมาส์กนี้สามารถช่วยป้องกันฝ้าและป้องกันการอักเสบที่เกิดจาก การยิงเลเซอร์เพื่อความงามบนใบหน้าได้ เป็นต้น”
          

“ด้วยสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในขณะนี้ ก็ยิ่งเข้ากับนโยบายการป้องกันของ เราพอดีเลย สิ่งที่ทุกคนสามารถทําได้ในตอนนี้ คือ การป้องกัน โดยทําให้สุขภาพของตัวเองแข็งแรงเข้าไว้ วิธีการ ของเรา คือ เปลี่ยนวิธีให้ข้อมูล เป็นภาษา หรือ รูปภาพ ที่เข้าใจได้ง่าย สอดคล้องกับวิถีชีวิต และภูมิสังคม ของคน กลุ่มต่างๆ เพื่อเขาจะได้นําข้อมูลไปใช้ ในการตัดสินใจได้ และ ทําตามที่ตัดสินใจจนสําเร็จ ซึ่งกระบวนการนี้ เรียกว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (health literacy) เช่น ลดการกินยา โดยเลือกรับประทานอาหารที่ได้คุณค่าแทน ลดการรับประทานเค็มครึ่งหนึ่ง หรือลดการรับประทานหวานครึ่งหนึ่ง เป็นต้น โดยเราจะมีเครื่อง Bio Feedback ซึ่งเป็นเครื่องสแกนดิจิทัล เพื่อตรวจวัดตามจุดต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งเครื่องนี้จะสะท้อนผลลัพธ์ออกมาให้เห็นว่า มี อวัยวะส่วนไหนภายในร่างกายของเราที่กําลังมีความผิดปกติเกิดขึ้นบ้าง ทําให้เรารู้ถึงสาเหตุและรีบป้องกันการ เจ็บป่วยได้นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมการทําUrbanFarmโดยใช้พื้นที่ของดาดฟ้าตึกปลูกผักและใช้ระบบดิจทิัล รดน้ําอัจฉริยะ โดยการวัดสภาพอากาศและควบคุมเวลาเปิด-ปิดน้ําผ่านแอพพลิเคชั่น มีโรงเรือนกางมุ้ง และมีห้อง แล็บ เพื่อตรวจสอบเรื่องยาฆ่าแมลง เชื้อโรค รวมทั้งไข่พยาธิด้วย ซึ่งเราจะใช้ตรงนี้เป็นโมเดลในอนาคต โดยจะเริ่ม ลงมือทําในเดือนธันวาคมนี้” นายภาคภูมิ กล่าวทิ้งท้าย

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ