Lifestyle

ตรวจแล็บ"โควิด-19"ผิดเวลา ผลลบไม่ได้แปลว่าไม่ติดเชื้อ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ตรวจแล็บ"โควิด-19"ผิดเวลา ผลลบไม่ได้แปลว่าไม่ติดเชื้อ แต่แปลได้เพียงว่า "ไม่เจอเชื้อ" เท่านั้น!!

          “คนไทยทุกคนต้องได้ตรวจโควิด-19 ฟรี” เป็นสิ่งที่มีการเรียกร้องขึ้นในสังคมออนไลน์ ทว่าแท้จริงแล้วการตรวจหาเชื้อทางห้องปฏิบัติ (ห้องแล็บ) เพื่อรู้ว่าติดโรคนี้หรือไม่ หากตรวจ “ไม่ถูกเวลา” ผลที่แสดง “เป็นลบ” ไม่ได้หมายถึง “ไม่ติดเชื้อ” แต่แปลได้เพียงว่า “ไม่เจอเชื้อ” เท่านั้น อาจเรียกว่า “ผลลบลวง”!

อ่านข่าว-อัปเดตสถานการณ์ 'ไวรัสโคโรน่า' (Covid-19) 19 มี.ค. 2563

 

 

 

          ทั้งนี้ “ผลลบลวง” ไม่ได้หมายความว่าผลตรวจผิดหรือเกิดความผิดพลาดในการตรวจที่ห้องแล็บแต่อย่างใด เพราะการตรวจเชื้อในห้องแล็บมีความแม่นยำ หากแต่เกิดจากการไปตรวจที่ “ผิดเวลา” ของคน ทำให้แม้ผลแสดงว่าเป็นลบ ก็ไม่ได้แปลว่าคนคนนั้น “ไม่ติดเชื้อ” หากแต่แปลผลได้เพียงว่าช่วงที่ตรวจ “ไม่เจอเชื้อ” เท่านั้น

        นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์  อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ บอกว่า การตรวจแล็บกรณีโควิด-19 มี 2 วิธี คือ 1.การตรวจหาเชื้อในทางเดินหายใจ (Real-time RT PCR) ซึ่งจะเก็บตัวอย่างส่งตรวจจากการป้ายเยื่อบุในคอ หรือป้ายเนื้อเยื่อหลังโพรงจมูก เพราะเชื้อไวรัสอยู่ในเซลล์จึงต้องขูดออกมา และหากเชื้อลงไปในปอดก็จะต้องนำเสมหะที่อยู่ในปอดออกมาตรวจ การตรวจวิธีนี้ต้องระวังการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม จึงต้องทำในห้องแล็บที่ได้รับมาตรฐาน ใช้เวลาตรวจเฉพาะในห้องแล็บ 2.5-3 ชั่วโมง ต้นทุนเฉพาะในห้องแล็บอยู่ที่ครั้งละ 2,500 บาท

ตรวจแล็บ"โควิด-19"ผิดเวลา  ผลลบไม่ได้แปลว่าไม่ติดเชื้อ

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์

         2.การตรวจจากการเจาะเลือด (Rapid test) แต่โควิด-19 เลือดไม่ใช่เป็นจุดที่มีเชื้อเป็นหลัก เพราะฉะนั้นการตรวจเลือดกรณีโรคนี้ไม่ได้เป็นการหาเชื้อ แต่เป็นการหาภูมิคุ้มกันซึ่งจะต้องตรวจเมื่อมีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นแล้ว ใช้เวลาตรวจ 15-30 นาที ปัจจุบันเป็นการนำเข้าชุดตรวจราคาอยู่ที่ 500 บาท แต่กรมกำลังพัฒนาชุดตรวจให้อยู่ในราคาชุดละ 200 บาท

ตรวจแล็บ"โควิด-19"ผิดเวลา  ผลลบไม่ได้แปลว่าไม่ติดเชื้อ

           ประโยชน์ในการตรวจแล็บหลักๆ ได้แก่ 1.เอาไว้วินิจฉัยรักษาโรคเพื่อแสดงว่าคนนี้เป็นโรคหรือไม่เป็นโรค วิธีที่เป็นมาตรฐานใช้ทั่วโลก คือการตรวจหาเชื้อในทางเดินหายใจ หากผลแสดงว่าเจอเชื้อแปลว่าเป็นโรค ก็ให้การรักษา และเมื่อให้การรักษาแล้วเชื้อหายหรือหมดไปหรือไม่ 2.เฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรค กรณีพบผู้ที่มีเชื้อก็จะต้องเฝ้าระวังป้องกันไม่ให้ไปแพร่เชื้อต่อให้คนอื่น ก็จะมีมาตรการกักตัว หรือแยกกัก 3.เป็นข้อมูลเชิงระบาดวิทยา เอาไว้ใช้ในการกำหนดมาตรการในการควบคุมโรคต่างๆ หรือประโยชน์ในการฉีดวัคซีน

           นพ.โอภาส อธิบายเพิ่มเติมถึงการแปลผลแล็บโควิด-19 ว่าวันแรกที่ได้รับเชื้อถึงวันที่มีอาการ เรียกว่าระยะฟักตัวของโรค หากตรวจแล็บด้วยวิธีการหาเชื้อในทางเดินหายใจในช่วงระยะฟักตัวโดยที่ยังไม่มีอาการ ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการตรวจแล็บ คือทำให้รู้ว่า “คนนี้ติดเชื้อแล้วแต่ยังไม่มีอาการ” แต่การตรวจในช่วงเวลานี้จะแปลผลค่อนข้างยากและโอกาสเจอเชื้อค่อนข้างน้อย หากตรวจแล้วผลเป็นลบก็บอกได้ว่า “ไม่เจือเชื้อ” แต่ไม่ได้แปลผลว่า “ไม่ติดเชื้อ” เพราะส่วนใหญ่เมื่อเริ่มมีอาการแล้วถึงจะตรวจเจอเชื้อ

          “การตรวจแล็บในระยะฟักตัวของโรคโดยที่ยังไม่มีอาการผลที่เป็นลบก็บอกได้เพียงวันที่ตรวจไม่เจอเชื้อ แต่ไม่ได้แปลว่าไม่ติดเชื้อ ต้องดูต่อไปว่าในช่วงเวลาที่ยังไม่เกินระยะฟักตัวของโรค 14 วันนั้นมีอาการป่วยหรือไม่ หากป่วยก็ต้องไปตรวจแล็บใหม่อีกครั้ง ไม่ได้หมายความว่าเคยตรวจตอนที่ยังไม่มีอาการป่วยแล้วไม่ต้องไปตรวจซ้ำแต่อย่างใด ซึ่งการแปลผลจะต้องพิจารณาผลแล็บควบคู่กับอาการของผู้ป่วยทุกครั้ง ขณะที่หากไปตรวจแล็บในช่วงเวลาที่มีอาการแล้วจะตรวจเจอเชื้อ 100% จึงมีประโยชน์ในการวินิจฉัยและควบคุมโรค” นพ.โอภาสกล่าว

ตรวจแล็บ"โควิด-19"ผิดเวลา  ผลลบไม่ได้แปลว่าไม่ติดเชื้อ

          นพ.โอภาส อธิบายต่อว่า ผู้ที่ติดเชื้อหลังจากมีอาการราว 5-7 วัน จึงจะมีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นสามารถตรวจหาภูมิคุ้มกันด้วยวิธีการเจาะเลือดได้ แต่หากตรวจจากเลือดในช่วงเวลาที่ยังไม่มีอาการใดๆ นั้น ภูมิคุ้มกันก็ยังไม่เกิดขึ้น การไปเจาะเลือดตรวจโดยยังไม่มีอาการ หากผลเป็นลบก็จะแปลผลได้ว่า “ยังไม่มีภูมิเกิดขึ้น” ไม่ได้แปลว่า “ไม่ติดเชื้อ” เพราะอาจจะอยู่ระยะฟักตัวโดยที่ยังไม่มีอาการ อาจจะติดเชื้อและมีอาการเกิดขึ้นทีหลังได้ แต่หากผลเป็นบวกแสดงว่ามีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นแล้ว ก็แปลผลได้ว่า “คนนี้ติดเชื้อแล้วแต่เมื่อไหร่ไม่รู้”

        ดังนั้นการเจาะเลือดตรวจในกรณีที่ยังไม่มีอาการใดๆ ก็เหมือนจะไม่มีประโยชน์ จึงควรเจาะเลือดตรวจหลังมีอาการป่วย 5-7 วัน

        “การแปลผลทุกครั้งต้องทำโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ไม่ควรตรวจเองและไม่ควรแปลผลเข้าข้างตัวเองและจะต้องแปลผลแล็บโดยไล่เลียงกับอาการป่วยของคนไข้เสมอ ไม่ได้แปลว่าตรวจทุกคนแล้วจะรู้ว่าติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อ เพราะฉะนั้นการตรวจทุกอย่างต้องมีวัตถุประสงค์ในการตรวจที่ชัดเจน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตรวจให้ฟรีทั้งในคนที่ต้องตรวจเชื้อทางเดินหายใจเพื่อวินิจฉัยโรคและตรวจเลือดเพื่อติดตามการควบคุมโรค” นพ.โอภาสกล่าว

         หากเทียบสถานการณ์การพบผู้ป่วยในประเทศไทยที่ปัจจุบันมียืนยัน 212 ราย จำเป็นที่ทุกคนจะต้องไปตรวจแบบเจาะเลือดหรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า การจะตรวจแล็บต้องดูว่าต้องการประโยชน์อะไร หากตรวจด้วยการเจาะเลือดแล้วไปตรวจในช่วงที่ยังไม่มีอาการเป็นระยะฟักตัวก็ไม่เกิดประโยชน์ เหมือนนำเงินไปทิ้งเล่น หรือมีอาการเพียง 1 วันไปเจาะเลือดตรวจก็ไม่เกิดประโยชน์ ดังนั้นมาตรฐานการตรวจตอนนี้ยังเป็นการตรวจหาเชื้อจากทางเดินหายใจอยู่เพราะเร็วที่สุด แม่นยำที่สุดและนำไปควบคุมโรคได้ และตามที่องค์การอนามัยโลก หรือฮู แนะนำสำหรับการเจาะเลือดตรวจนั้น เพื่อศึกษาทางระบาดวิทยา

 

         “การตรวจแล็บมากไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่จะทำให้สามารถควบคุมโรคได้ดี จะต้องดำเนินการควบคู่กับมาตรการอื่นๆ ที่ตรงกลุ่มเป้าหมายด้วยเสมอ เช่น เกาหลีใต้ตรวจแล็บมากก็ควบคุมโรคได้ดีโดยมีมาตรการอื่นด้วย ขณะที่ญี่ปุ่นตรวจแล็บค่อนข้างน้อย แต่ก็ควบคุมโรคได้ดีเช่นกัน เพราะมีมาตรการให้คนอยู่ในบ้าน ซึ่งคนญี่ปุ่นก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด” นพ.โอภาสกล่าว

ตรวจแล็บ"โควิด-19"ผิดเวลา  ผลลบไม่ได้แปลว่าไม่ติดเชื้อ

         ทั้งนี้ปัจจุบันกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ให้การรับรองห้องแล็บที่สามารถตรวจโควิด-19 ได้จำนวน 40 แห่ง มีศักยภาพตรวจได้วันละ 4,000-5,000 ตัวอย่าง แต่ปัจจุบันมีตัวอย่างส่งตรวจราว 500 ตัวอย่างต่อวัน และจะขยายห้องแล็บตรวจให้ได้ 100 แห่ง จะทำให้มีศักยภาพตรวจได้ 10,000 ตัวอย่างต่อวัน

         ท้ายที่สุด นพ.โอภาส แนะนำประชาชนในการตรวจแล็บโควิด-19 ว่า ขอให้ประชาชนเช็กประวัติตัวเองว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงตามเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุขหรือไม่ หากเป็นกลุ่มเสี่ยงและมีอาการป่วยให้รีบไปโรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจฟรีไม่ว่าตรวจแล้วผลจะออกมาติดหรือไม่ติดเชื้อก็ตาม แต่หากไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงก็สามารถรอได้

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ