โดย... 0 พวงชมพู ประเสริฐ 0 [email protected]
การพนันในปัจจุบันไม่ได้เป็นรูปแบบบ่อนที่จะต้องเดินทางไปในสถานที่เฉพาะจึงจะสามารถเล่นได้อีกต่อไป แต่เปลี่ยนรูปแบบเป็น “พนันออนไลน์” ที่เข้าถึงได้ทุกที่ทุุกเวลา เพียงเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยมีกลุ่มเด็กและเยาวชนคือเหยื่อสำคัญในการกระตุ้นให้เริ่มเล่น ซึ่งเสี่ยงที่จะทำให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ขาดวุฒิภาวะอย่างถาวร ขณะที่กฎหมายในการจัดการยังมีช่องโหว่ใหญ่ที่บังคับใช้ตั้งแต่เมื่อ 80 ปีก่อน จึงเอาไม่อยู่ ตามจัดการไม่ทันบ่อนไฮสปีด
จากการสำรวจของศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 2560 พบว่า เยาวชนไทยเล่นพนันมากถึง 3.64 ล้านคน เพศชายราว 2 ล้านคน เพสหญิง 1.6 ล้านคน ในจำนวนนี้ติดหนี้พนันมากถึง 9.53 หมื่นคน เป็นวงเงิน 335 ล้านบาท เฉลี่ยประมาณคนละ 3,500 บาท โดยเฉพาะพนันออนไลน์ได้เข้ามาเป็นปัญหาที่สำคัญของเด็กและเยาวชน จากผลสำรวจความคิดเห็นของเยาวชนกับการพนันออนไลน์ ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการส่งเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) พบว่า 67.8% ไม่เคยเล่นการพนันออนไลน์ รองลงมา 17% เคยเล่น และ 15.2% เคยเล่นเป็นบางครั้ง
พญ.มธุรดา สุวรรณโพธิ์
พญ.มธุรดา สุวรรณโพธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) อธิบายว่า จากการศึกษาวิจัยที่ผ่านมา ในส่วนของเยาวชนจะติดเกมไม่ได้ติดพนัน แต่เกมในปัจจุบันส่วนมากจะมีเรื่องพนันเข้ามาแอบแฝง ซึ่งสมองของวัยรุ่นมีธรรมชาติที่ชอบเข้าไปหาความเสี่ยง โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าความเสี่ยงนั้นอาจทําให้ได้รางวัล หากว่าสมองของเด็กและวัยรุ่นถูกกระตุ้นด้วยการพนันรูปแบบต่างๆ สมองส่วน Striatum ที่เปรียบเสมือนคันเร่งจะถูกใช้งานบ่อย เปรียบได้เหมือนเป็นการฝึกฝนตั้งแต่อายุน้อย ทำให้สมองส่วนนี้มีความว่องไวในการทำงานมากขึ้น จนเป็นไปได้ว่าสมองส่วนหน้า PFC : Prefrontal cortex ที่เปรียบเสมือนเบรก ไม่สามารถพัฒนาแข่งขันกับสมองส่วนคันเร่งได้ อาจมีผลให้เด็กหรือวัยรุ่นเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ขาดวุฒิภาวะอย่างถาวร
องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้พฤติกรรมติดการพนันเป็นความผิดปกติทางจิตชนิดหนึ่ง เรียกว่า โรคติดพนัน (Pathological Gambling) อาการคือแม้ผู้เล่นการพนันจะมีความทุกข์จากการเล่นพนัน แต่ก็หยุดไม่ได้ยังคงต้องเล่นต่อไป ผู้ที่มีปัญหาจากการพนันหรือผู้ติดการพนัน คือผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยตามเกณฑ์ การวินิจฉัยของสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน ในทางการแพทย์เรียกว่า ภาวะผิดปกติจากการพนัน (Gambling Disorder) จัดอยู่ในกลุ่มโรคเดียวกับโรคที่เกี่ยวกับสารเสพติด (Substance-related and Addictive Disorders) ซึ่งภาครัฐอย่าง สธ.และภาคีที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามาดูแลแก้ไขอย่างใกล้ชิด และหากผู้ปกครองพบบุตรหลานมีอาการเข้าข่ายโรคนี้ ควรโทรปรึกษากรมสุขภาพจิต
“สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือปริมาณนักพนันวัยเยาว์ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นตามเว็บไซต์และแอพพลิเคชันพนันออนไลน์ ซึ่งการทำงานต่อเนื่องจะเป็นไปในลักษณะเล่นพนันได้ แต่ต้องมีความรับชอบ ทั้งตัวผู้เล่นและเจ้าของธุรกิจพนันในรูปแบบต่างๆ และเยาวชนเองต้องตระหนักให้มากขึ้น และลุกขึ้นมาเป็นหนึ่งแกนนำในการจัดการปัญหา ในการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เด็กและเยาวชนด้วยกันเอง” พญ.มธุรดากล่าว
พงศ์ธร จันทรัศมี
อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาพนันในสังคมไทยมีการดำเนินการมากว่า 1 ทศวรรษ พงศ์ธร จันทรัศมี ผู้จัดการศูนย์ข้อมูลนโยบายสาธารณะการลดปัญหาจากการพนัน มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ(มสช.) ระบุว่า การพนันถือเป็นภัยร้ายใกล้ตัว แต่รัฐบาลไทยยังไม่ได้มีนโยบายป้องกันและลดผลกระทบอย่างต่อเนื่องและจริงจัง แตกต่างกับในหลายประเทศที่ให้ความสำคัญกับการป้องกันและลดผลกระทบจากพนัน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน ด้วยการกำหนดให้ปัญหาพนันเป็นปัญหาที่ต้องใช้นโยบายด้านสุขภาพในการดำเนินการ มีการส่งเสริมป้องกัน การสร้างความตระหนัก การมีกลไกติดตามปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการพนัน การมีศูนย์ให้คำปรึกษาบำบัดช่วยเหลือผู้ที่ติดพนันที่เข้าถึงได้ง่าย ช่วยบรรเทาและลดผลกระทบต่อประชาชนจากพนัน
“กฎหมายเอาผิดเรื่องของการพนันปัจจุบันใช้ พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 ซึ่งไม่มีข้อกำหนดความผิดเกี่ยวกับเรื่องการพนันออนไลน์เอาไว้ ทำให้การจัดการปัญหาไม่ทันท่วงที ต้องอาศัยพ่วงไปกับ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 ซึ่งกว่าจะปิดเว็บไซต์ได้ต้องขึ้นสู่ศาลและใช้เวลาเป็นเดือนๆ แต่เว็บสามารถเปิดได้เพียงแค่ 3 นาที จึงควรจะต้องมีการออกกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ เพื่อให้การจัดการกับปัญหาเกิดขึ้นได้ทันกับสถานการณ์ เพราะขณะนี้ถือว่าการพนันออนไลน์เป็นปัญหารุนแรงมาก เพราะทุกการเข้าใช้เว็บไซต์ก็จะเข้าถึงเว็บไซต์การพนันด้วย” พงศ์ธร กล่าว
พชรพรรษ์ ประจวบลาภ
ขณะที่ พชรพรรษ์ ประจวบลาภ เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า สิ่งที่อยากให้เพิ่มเติมในการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาพนันและพนันออนไลน์ในเยาวชน คือ การรณรงค์บนสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียให้มากขึ้น เนื่องจากเด็กและเยาวชนอยู่บนแพลตฟอร์มนี้เยอะมาก และที่เน้นการรณรงค์ผ่านการสื่อสารบนสื่อมัลติมีเดีย เพราะพบว่าการรณรงค์ผ่านการสื่อสารในแบบ 3 on ช่วยให้เกิดการรับรู้และลดการเล่นพนันได้ โดย 3 on ประกอบด้วย 1.on ground การสื่อสารแบบลงพื้นที่ ตอกย้ำพิษภัยของการพนันและการพนันออนไลน์แก่คนที่ไม่เล่นโซเชียล 2.online เพื่อชี้ให้เห็นโทษของการพนันแก่เด็กและเยาวชน และ 3.on broadcast ในช่องทางสื่อเก่า เช่น โทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ เพื่อสื่อสารกับผู้ใหญ่ ผู้ปกครอง และผู้กำหนดนโยบายในบ้านเมือง
“โซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊ก ไลน์ หรือยูทูบ แม้ไม่ใช่เว็บไซต์การพนัน แต่เป็นเหมือนประตูที่เชื่อมโยงไปสู่เว็บการพนันได้ โดยเฟซบุ๊กเป็นประหนึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการทำประชาสัมพันธ์เว็บพนัน ที่บ่อยครั้งจะเห็นว่ามีการโฆษณาในหน้าฟีดเฟซบุ๊ก ส่วนยูทูบเป็นเหมือนอาจารย์ที่สามารถเข้าไปค้นหาวิธีการเล่นต่างๆ ได้อย่างง่าย และไลน์เป็นช่องทางของการสมัครเข้าเล่นพนัน รวมถึง การโฆษณาแฝงของเว็บพนันในเว็บไซต์อื่นๆ ด้วย เช่น เว็บข่าวกีฬา เป็นต้น จึงควรมองถึงการป้องกันในส่วนนี้ด้วย” พชรพรรษ์กล่าว
เกณฑ์การวินิจฉัยโรคติดพนัน
ลักษณะของผู้ติดพนันต้องมีอาการต่อเนื่องอย่างน้อย 4 ข้อ ในระยะเวลา 1 ปี
1.หมกมุ่นอยู่กับการเล่นพนัน
2.อยากเล่นมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่สามารถหักห้ามใจ หรือหยุดการเล่นได้
3.มีอาการหงุดหงิดหากต้องหยุดเล่นหรือไม่ได้เล่น
4.เมื่อมีความไม่สบายใจจะไปเล่นการพนัน
5.เมื่อเสียพนันก็อยากเล่นอีกเพื่อให้ได้เงินคืน
6.โกหกคนใกล้ชิดหรือแพทย์เรื่องการไปเล่นพนันหรือปกปิดจำนวนเงินที่ใช้ไปในการเล่นพนัน
7.ต้องพึ่งพาผู้อื่นเรื่องเงิน เพราะมีปัญหาการเงินจากการพนัน
8.มีความเสื่อมถอยในหน้าที่การงาน การเรียน หรือเสียสัมพันธ์กับคนรอบข้างเนื่องมาจากพนัน
สถานการณ์การเล่นพนันของเด็กและเยาวชน
- เล่นพนันมากถึง 3.64 ล้านคน เพศชายราว 2 ล้านคน เพศหญิง 1.6 ล้านคน
- ติดหนี้พนันมากถึง 9.53 หมื่นคน เป็นวงเงิน 335 ล้านบาท เฉลี่ยประมาณคนละ 3,500 บาท
- 67.8% ไม่เคยเล่นพนันออนไลน์ 17% เคยเล่น 15.2% เคยเล่นเป็นบางครั้ง
- 48.3% ไม่อยากเล่นพนันออนไลน์ 28.1% อยากเล่น เป็นบางครั้ง 23.6% อยากเล่นแน่ๆ
ที่มา : ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สสส. และมสช.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง