วิจัยชี้ชัด ร.ร.อยู่รอดต้องปฏิบัติตามนโยบายล่างสู่บน
เผยวิจัย แจงร.ร.ที่อยู่รอด ปฏิรูปการศึกษาประสบผลสำเร็จ ต้องขับเคลื่อนนโยบายการศึกษาจากล่างสู่บน พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่ใช่การปฏิรูปแบบครึ่งๆกลางๆ
จากการที่ได้ทำวิจัย เรื่องการสังเคราะห์รูปแบบการจัดการเรียนรู้ชุมชน โดยใช้การวิจัยเป็นฐาน ผ่านเก็บข้อมูลภาคสนามทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายการศึกษาจากล่างสู่บน โดยได้รับทุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่าโรงเรียนที่อยู่รอด เป็นแม่เหล็กของสังคมที่ดึงดูดคนมาเรียนได้ จะต้องเป็น โรงเรียนที่มีลักษณะดังนี้ ประการแรก เป็นโรงเรียนที่เปลี่ยนมุมมองจากการปฏิบัติตามนโยบายเป็นจากล่างสู่บน ประการที่สอง มีการกระจายอำนาจในรูปแบบ 60-20-20 คือ อำนาจการบริหารจัดการเป็นของโรงเรียนร้อยละ 60 , คณะกรรมการการศึกษาจังหวัด (กศจ.) ร้อยละ 20 ,อำนาจของกระทรวงศึกษาธิการร้อยละ 20 ประการที่สาม เป็นโรงเรียนนิติบุคคลและ มีโรงเรียนเครือข่าย โดยโรงเรียนกลุ่มนี้จะทำงานเป็นเครือข่ายร่วมกับโรงเรียนอื่นและชุมชน เพื่อแลกเปลี่ยนวิธีการคิด งบประมาณ สร้างนวัตกรรม มีงานวิชาการและงานวิจัยรองรับ มีการลงมือปฏิบัติ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา และสามารถให้คำตอบเชิงนโยบายได้ ที่สำคัญในความเป็นนิติบุคคลควรต้องมีกฎหมายรองรับเขียนอำนาจหน้าที่ไว้ให้ชัดเจน
ทั้งนี้ ส่วนระดับ กศจ. จะต้องแบ่งงานกับ ศึกษาธิการภาค และศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.)ให้ชัดเจน สำหรับกระทรวงศึกษาธิการนั้น ตนมีข้อเสนอให้บริหารจัดการโดยไม่มีกรม มีแต่ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และแบ่งงานโดยรวมกลุ่มงานเป็นคลัสเตอร์ 4-5 กลุ่ม อาทิ กลุ่มที่ทำหน้าที่ดูแลเชิงนโยบาย แผนการศึกษา กฎหมายการศึกษา ,กลุ่มงานวิจัย หลักสูตร สร้างนวัตกรรม ,กลุ่มงบประมาณ, กลุ่มกำกับติดตามตรวจสอบ โดยเป็นการทำงานเชิงบูรณาการ ไม่มีแท่งใครแท่งมัน หรือ กรมใครกรมมัน แต่จะทำงานตามเนื้องาน
“ผู้บริหารโรงเรียนต้องกล้าคิดนอกกรอบ ซึ่งเรามีตัวอย่างโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จเป็นต้นแบบ เช่น กลุ่มเครือข่ายโรงเรียนบ้านเกาะคา จ.ลำปาง, กลุ่มเครือข่ายบ้านคูเมือง จ.อุบลราชธานี เป็นต้น หากสามารถเปลี่ยนวิธีคิดให้ขับเคลื่อนนโยบายการศึกษาจากล่างสู่บนได้ผล จะทำให้การปฏิรูปการศึกษาประสบผลสำเร็จ ในลักษณะพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ตอบโจทย์ประเทศได้ ไม่ใช่การปฏิรูปแบบครึ่งๆกลางๆ ลูบหน้าปะจมูกอย่างที่ทำอยู่” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว