ไลฟ์สไตล์

‘ยุงจีเอ็มโอ’... ไวรัสลึกลับ‘ซิกา’

‘ยุงจีเอ็มโอ’... ไวรัสลึกลับ‘ซิกา’

06 ก.พ. 2559

‘ยุงจีเอ็มโอ’... ไวรัสลึกลับ‘ซิกา’ : ทีมข่าวรายงานพิเศษ

             ต้นเดือนมกราคม 2559 “บราซิล” เปิดเผยตัวเลข “ทารกหัวเล็ก” เกือบ 4 พันคน ที่อาจเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อไวรัสซิกา (Zika virus) ทำให้องค์การอนามัยโลกสั่งระดมผู้เชี่ยวชาญมาประชุม ณ กรุงเจนีวา ก่อนประกาศ “ไวรัสซิกา” เป็น “ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ” ในวันที่ 1 ก.พ.2559

             จากนั้น วันที่ 2 กุมภาพันธ์ กระทรวงสาธารณสุขไทยเรียกประชุมเร่งด่วนและประกาศแถลงการณ์ให้เชื้อร้ายตัวนี้เป็น “โรคติดต่อที่ต้องแจ้งความ” ตาม พ.ร.บ. โรคติดต่อ พ.ศ.2523 หมายความว่าหากใครเป็นผู้ป่วยหรือผู้พบเห็นต้องแจ้งกระทรวงสาธารณสุขทันที !

             นพ.อำนวย กาจีนะ อธิบดีกรมควบคุมโรค ให้ข้อมูลว่า ตั้งแต่ปี 2555-2558 ไทยมีรายงานผู้ป่วยไวรัสซิกา 2-5 ราย ประชาชนอย่าตื่นตระหนก ไทยไม่ใช่พื้นที่ระบาดของโรค ไม่มีอันตรายถึงแก่ชีวิต อาการป่วย ได้แก่ มีไข้ ออกผื่น ตาแดง ปวดข้อ ส่วนใหญ่ป่วยแล้วหายได้เองภายใน 4-7 วัน

             หากเชื้อตัวนี้ไม่ได้เป็นเชื้ออันตราย ทำไม “ฮู” หรือองค์การอนามัยโรคต้องประกาศให้เป็นโรคฉุกเฉินร้ายแรง  ?

             สืบเนื่องมาจากการระบาดอย่างรุนแรงของเชื้อไวรัสตัวนี้ใน “บราซิล” และประเทศแถบละตินอเมริกานั่นเอง ย้อนกลับไปเมษายน 2558 รัฐบาลบราซิลรายงานการพบผู้ป่วยโรคซิกาเป็นรายแรก จากนั้นไม่กี่เดือนไวรัสร้ายตัวนี้เริ่มระบาดอย่างรวดเร็ว โดยมียุงลายเป็นพาหะ ตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งทะยานจากหลักร้อย เป็นหลักล้านในเวลาเพียง 9 เดือน

             วันที่ 31 ธันวาคม 2558 มีรายงานพบผู้ป่วยซิกาในบราซิลจำนวน 1.5 ล้านราย !

             ยิ่งไปกว่านั้น พบรายงานจำนวนเด็กหัวเล็กหรือทารกแรกเกิดคลอดออกมาจากมารดาที่ป่วยเป็นโรคซิการะหว่างตั้งครรภ์สูงกว่า 3,700 ราย ทั้งที่ก่อนหน้านี้บราซิลมีเพียงปีละไม่ถึง 200 ราย จึงมีการเตือนไปทั่วโลกว่า ไวรัสซิกาอาจทำให้ทารกแรกเกิดเป็น “โรคศีรษะเล็กกว่าปกติ” (Microcephaly) อาการเบื้องต้นคือ กล้ามเนื้อเด็กจะอ่อนแรง การเจริญเติบโตผิดปกติ เด็กบางคนป่วยคล้ายอัมพาตหรือบางรายการทำงานของสมองผิดปกติ

             ความสับสนเริ่มเกิดขึ้น เมื่อ “ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อร้ายแรงของสหรัฐ (ซีดีซี) ไม่ยืนยันว่า “ไวรัสซิกา” เป็นต้นเหตุทำให้เกิดโรคศีรษะเล็ก เพียงแต่บอกว่า “อาจมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน” เท่านั้น

             เนื่องจากมีหลายประเทศพบหญิงตั้งครรภ์ป่วยโรคซิกาแล้วเด็กที่คลอดออกมาไม่ได้มีอาการศีรษะเล็ก เหมือนที่เกิดขึ้นในบราซิล !

             กลุ่มเอ็นจีโอเริ่มขุดคุ้ยข้อมูลว่า หรือเป็นเพราะ “ยุงจีเอ็มโอ” ในบราซิล คือต้นเหตุทำให้เกิดเด็กหัวเล็กหรือไม่ ? เพราะช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บราซิลถือเป็นพื้นที่ทดลอง “ยุงจีเอ็มโอ” ขนาดใหญ่ของภูมิภาคละตินอเมริกา

             ยุงจีเอ็มโอ หมายถึง “ยุงดัดแปลงพันธุกรรม” ใช้วิธีตัดต่อ ดีเอ็นเอไวรัสโรคเริม และ แบคทีเรียอีโคไล ใส่ลงไปยุงตัวผู้ แล้วปล่อยสู่ธรรมชาติไปผสมพันธุ์กับยุงตัวเมีย ยีนนี้จะช่วยทำให้ไวรัสไข้เลือดออกในตัวยุงหมดฤทธิ์ และทำให้ไข่ของยุงตัวเมีย “ฝ่อ” หรือไม่ฟักออกเป็นลูกน้ำ เชื่อว่าจะช่วยลดจำนวนยุงที่เป็นพาหะนำสู่ “ไข้เลือดออก” ที่กำลังแพร่ระบาดในหลายประเทศ บริษัทเจ้าของเทคโนโลยียุงจีเอ็มโอ คือ “ออกซิเทค” (Oxitec) จากอังกฤษ ตั้งชื่อรหัสยุงจีเอ็มโอว่า “โอเอ็กซ์ 513เอ” (OX513A) สร้างห้องแล็บผลิตยุงจีเอ็มโอในหลายประเทศ โดยเฉพาะบราซิลทำทดลองตั้งแต่ปี 2555 ผลิตยุงได้เดือนละ 2 ล้านตัว เนื่องจากบราซิลมีประชากรทั้งหมด 200 ล้านคน พบการระบาดของไข้เลือดออกเดงกี่อย่างรุนแรง พบผู้ป่วย 6-7 แสนรายต่อปี เสียชีวิตประมาณ 200-300 ราย

             “ยุงจีเอ็มโอ” กลายเป็นความหวังในการจำกัดยุงลายพาหะโรคไข้เลือดออก บราซิลทดลองปล่อยยุง “โอเอ็กซ์ 513เอ” สู่ธรรมชาติเมื่อปี 2557 ในพื้นที่รัฐทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล ซึ่งเป็นพื้นที่ระบาดของโรคซิกาในปี 2558

             นักวิทยาศาสตร์กลุ่มที่เชื่อว่า “ยุงจีเอ็มโอ” เป็นอัศวินในสงครามปราบยุงลาย พาหะของไข้เลือดออกเดงกี่ ชิคุนกุนยา รวมถึงไวรัสซิกา เนื่องจากยุงในธรรมชาติเหล่านี้เริ่มดื้อต่อยาฆ่าแมลง และยังไม่มีวัคซีนรักษาโรคไข้เลือดออก จากผลการศึกษายุงจีเอ็มโอ “โอเอ็กซ์ 513เอ” ที่ปล่อยในเกาะเคย์แมนปี 2553 พบจำนวนยุงลดลงตามเป้าหมายร้อยละ 80

             ปี 2554 ทีมนักวิทยาศาสตร์จากออกซิเทค ทดลองในพื้นที่ “อิตาเบราบา” ชานเมืองจูอาเซยโร รัฐบาเยีย ทางตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นภูมิภาคแห้งแล้งของบราซิล ชานเมืองนี้มีผู้คนอาศัยหนาแน่น แต่ไม่มีน้ำประปา ชาวบ้านต้องรองน้ำเก็บไว้ใช้ จึงกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำชั้นดีของยุงลาย ผลปรากฏว่า ประชากรยุงลดลงร้อยละ 81-95

             ขณะที่ฝ่ายค้านหรือเครือข่ายต่อต้านจีเอ็มโอ เปิดเผยข้อมูลเมื่อปลายเดือนมกราคม 2559 ว่า “ออกซิเทค” เป็นบริษัทอังกฤษที่เป็นลูกของบริษัทอินเตอร์ซอนของอเมริกา (Intrexon Corporation) การระบาดของไวรัสซิกาอาจเกิดจากยุงจีเอ็มโอก็ได้ เนื่องจากในอดีต “ไวรัสซิกา” เคยระบาดในประเทศอื่นมาแล้ว แต่ไม่พบทารกหัวเล็กตั้งแต่กำเนิดมากมายหลายพันคนเหมือนในบราซิล นอกจากนี้ยังไม่เคยมีงานวิจัยชี้ชัดว่ายุงจีเอ็มโอจัดการกับไวรัสด้วยวิธีการใด? มีโอกาสจะแพร่เชื้อโรคมาสู่มนุษย์หรือไม่? ที่สำคัญเชื้อไวรัสซิกาเมื่อเติบโตในยุงเหล่านี้ได้ จะนำไปสู่วิวัฒนาการของไวรัสร้ายตัวใหม่ที่เป็นอันตรายยิ่งกว่าไวรัสต้นกำเนิดหรือไม่?

             ที่น่าเป็นห่วงคือ ผลกระทบจากการปล่อยสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่สู่สภาพแวดล้อม อาจทำให้ประชากรยุงลดลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นอันตรายต่อแมลงอันตรายชนิดอื่น หรือสัตว์อื่นหรือไม่ เพราะทำลายวงจรห่วงโซ่อาหารของธรรมชาติ

             วิวาทะของกลุ่มสนับสนุนและกลุ่มคัดค้าน “ยุงจีเอ็มโอ” กลายเป็นประเด็นสำคัญที่หน่วยงานรัฐของไทยและคนไทยต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

             เนื่องจาก บริษัทออกซิเทค เคยประกาศว่าจะนำยุง “โอเอ็กซ์ 513เอ” ที่เคยทดลองในบราซิล มาทดลองในมาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม อินเดีย และ “ไทยแลนด์” ?!?

             ทีมข่าว “คม ชัด ลึก” สอบถามไปยังนักชีววิทยาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ปรากฏว่าไม่เคยมีรายงานการขออนุญาตนำยุงจีเอ็มโอเข้ามาทดลองในประเทศไทยแต่อย่างใด

             ทั้งนี้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสไข้เลือดออกของกระทรวงสาธารณสุข ยอมรับว่าไม่เคยรับรู้ข้อมูลว่ามีการทดลองยุงจีเอ็มโอในประเทศไทยมาก่อน แต่ก็ไม่สามารถยืนยันว่า “ไม่มี” เพราะอาจเป็นความร่วมมือของหน่วยงานบางแห่งได้

             ส่วนความกังวลว่า ยุงจีเอ็มโอมีโอกาสทำให้เด็กทารกเกิดมาหัวเล็กหรือไม่นั้น แพทย์ข้างต้นยืนยันว่าที่ผ่านมายังไม่มีผลงานวิจัยหรือผลการศึกษายืนยันว่า กรณีที่เกิดขึ้นในบราซิลเกี่ยวข้องกับยุงจีเอ็มโอหรือไม่ พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า

             “การนำพืชหรือสัตว์ดัดแปลงพันธุกรรมมาปล่อยสู่ธรรมชาติเป็นเรื่องต้องระมัดระวัง เพราะผลกระทบจากการไปฝืนธรรมชาติ เป็นอะไรที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ในอนาคต”

......................

(หมายเหตุ : ที่มาของรูป http://images.latintimes.com/sites/latintimes.com/files/styles/large_breakpoints_theme_lt_desktop_1x/public/2015/07/24/mosquito-malaria.jpg
https://i.ytimg.com/vi/TtFwaNEfzU4/maxresdefault.jpg
https://www.britishcouncil.org/sites/default/files/styles/bc-landscape-630x354/public/oxitec_males_mosquitoes_being_released_in_brazil_resize.jpg?itok=hbuiIBFx
http://www.thestar.com.my/~/media/10b4f86295b448cc948ea7d946e9f54f.ashx/
http://i.dailymail.co.uk/i/pix/2016/01/29/10/30B1139900000578-0-image-a-5_1454062868902.jpg)