
หนุนชุมชนพึ่งพลังงานทางเลือกจีอีเอฟยก"แม่ฮ่องสอน"พื้นที่นำร่อง
จังหวัดแม่ฮ่องสอน หรือเมืองสามหมอก เป็นจังหวัดชายแดนที่ห่างไกล ในอดีตการติดต่อคมนาคมกับจังหวัดอื่นๆ ทำได้เฉพาะทางเครื่องบินเท่านั้น จังหวัดนี้จึงอยู่ในสภาพที่เรียกว่า "เมืองปิด และถือเป็นจังหวัดที่มีประชากรอาศัยอยู่เบาบางที่สุดของประเทศ เนื่องจากสภาพภูม
ทำให้การบริการขั้นพื้นฐานประเภทไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) นั้นไม่สามารถเข้าถึงได้ทั้งที่เคยมีแผนจะเข้ามาเดินสายไฟฟ้าก็ติดปัญหาสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย เช่น พื้นที่เป็นป่าเขา ที่สูง ต้นไม้เยอะ อีกทั้งยังต้องใช้เงินลงทุนสูง ดูแลรักษายาก ทำให้คนแม่ฮ่องสอนต้องรู้จักพึ่งพาตนเองในการใช้พลังงานทดแทน
นอกจากจะมีการตื่นตัวของประชากรเองแล้ว จ.แม่ฮ่องสอน ยังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐคือ กระทรวงพลังงานและองค์กรระหว่างประเทศ อย่างยูเอ็นดีพี ในการเลือกเป็นพื้นที่เป้าหมายนำร่องทำโครงการส่งเสริมพลังงานทางเลือก เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองด้านพลังงานได้ก่อนจะขยายไปสู่จังหวัดใกล้เคียง อย่าง เชียงใหม่ เชียงราย และตาก
ผศ.ดร.ชัชวาลย์ ชัยชนะ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนานครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า แม่ฮ่องสอนมีการใช้พลังงานน้อยที่สุด คิดเป็น 0.07% ของประเทศ โดยเป็นการใช้น้ำมันดีเซลสูงสุด 44% เบนซิน 22% และไฟฟ้า 18% พลังงานหมุนเวียนจากฟืนและถ่านที่ใช้หุงต้มในบ้านเรือน 15% ในส่วนของไฟฟ้ารวม 71 ล้านหน่วยนั้น ในจังหวัดสามารถผลิตใช้ได้เอง 83% และอีก 17% มาจาก กฟภ. ทำให้แม่ฮ่องสอนมีปัญหาไฟฟ้าดับและไฟตกบ่อยครั้ง เพราะการผลิตใช้เองยังไม่เสถียรและไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น
สำหรับการผลิตไฟฟ้าใช้เอง ส่วนใหญ่ 78% มาจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก 4 แห่ง และเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานดีเซล 2 แห่ง 21% มาจากพลังงานแสงอาทิตย์ 1 แห่ง เพียง 1% เท่านั้น แม้ว่าในหมู่บ้านจะมีการผลิตพลังงานใช้เองบ้าง เช่น มาจากชีวมวล แต่ก็ยังผลิตได้ไม่มาก เพราะชาวบ้านยังขาดความรู้ความเข้าใจ ทั้งๆ ที่แม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดที่มีความเหมาะสมในการผลิตพลังงานหมุนเวียนจากชีวมวล เช่น จากแกลบและฟางข้าวที่มีเหลือทิ้งกว่า 4 หมื่นตันต่อปี มีซังข้าวโพด เปลือกถั่วลิสง และลำต้น ใบ เปลือกของถั่วเหลือง ซึ่งเป็นพืชที่ปลูกได้มากในพื้นที่รวมแล้วกว่า 23.8 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบแต่คงต้องดูต่อไปว่าจะแปลงเป็นพลังงานได้มากน้อยแค่ไหน
จีอีเอฟหนุนงบทำโครงการนำร่อง
ตัวแทนจากสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประเทศไทย ยูเอ็นดีพี ระบุว่า ทางกองทุนส่งเสริมสิ่งแวดล้อมโลก (จีอีเอฟ) ได้พิจารณาโครงการของ จ.แม่ฮ่องสอน มานานกว่า 3 ปี ก่อนจะอนุมัติงบให้จัดทำโครงการนำร่อง 2.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 80 ล้านบาท สำหรับการจัดทำโครงการ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2554-2558 คาดว่าจะผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ 27 เมกะวัตต์ เชื่อมกับระบบของการไฟฟ้า และอีก 2.4 เมกะวัตต์ที่ไม่ได้เชื่อมเข้าระบบ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้น 5.5 หมื่นเมกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี โดยที่ผ่านมามีการจัดประชุมกับชาวบ้านกลุ่มต่างๆ ไปแล้ว 2 ครั้งเพื่อรับฟังความคิดเห็น และมีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับโครงการแล้ว โดยมีปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน
“จากที่รับฟังข้อมูลของคนในพื้นที่ 2 ครั้งยังมีท่าทีนิ่งเฉย ไม่ได้ต่อต้านหรือสนับสนุน ซึ่งแนวโน้มน่าจะสร้างความเข้าใจและดึงชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมได้ไม่ยาก เพราะชาวบ้านเองก็อยากจะพึ่งพาตัวเองให้ได้มากขึ้น ส่วนงบที่เตรียมไว้ 80 ล้านบาท ในช่วง 5 ปีน่าจะเพียงพอเพราะการทำโครงการไม่เน้นด้านการลงทุนก่อสร้าง หรือซื้ออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์แต่เน้นที่การเพิ่มศักยภาพขององค์กรทั้งระดับท้องถิ่นและจังหวัด"
รวมถึงการให้ความรู้ต่างๆ และการสนับสนุนให้เข้าถึงกลไกทางการเงินโดยได้รับความร่วมมือจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) ซึ่งคงจะเริ่มเดินหน้าโครงการได้ชัดเจนในต้นปีหน้า จากนั้นหลัง 5 ปี จะมีการประเมินผลสำเร็จของโครงการก่อนจะขยายไปสู่จังหวัดอื่นๆ ต่อไป
สำหรับพลังงานทางเลือกนั้น มีหลายรูปแบบที่เปิดกว้างให้ชุมชนเลือกสิ่งที่เห็นว่าเหมาะสมที่สุด จึงเลี่ยงการใช้คำว่าพลังงานทดแทน ซึ่งมีทั้งจากแสงอาทิตย์ จากน้ำ จากลม และจากชีวมวล รวมถึงพลังงานใต้ดิน ซึ่งแต่ละทางเลือกก็มีข้อด้อยข้อดีต่างกัน เช่น โซลาร์โฮม ให้กำลังการผลิตต่ำ ต้นทุนแพง พลังน้ำขึ้นอยู่กับฤดูกาลหน้าแล้งน้ำจะมีปริมาณไม่เพียงพอผลิตกระแสไฟ ส่วนชีวมวลมีข้อจำกัดด้านองค์ความรู้ที่จะดำเนินการและปริมาณวัตถุดิบที่กระจัดกระจาย ทางโครงการจึงต้องเข้าไปส่งเสริมให้ประชาชนเป็นเจ้าของและได้รับประโยชน์ โดยผลักดันให้เป็นวาระของจังหวัดและวาระแห่งชาติต่อไป
นำร่องทดลองโซลาร์เซลล์
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า กระทรวงพลังงานส่งเสริมพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง แต่อาจติดด้วยมีข้อจำกัดด้านงบประมาณในแต่ละปีทำให้การพัฒนาด้านพลังงานทดแทนยังไปได้ไม่ไกลมากนัก ไม่เหมือนต่างประเทศ เช่น ที่ประเทศเยอรมนี รัฐบาลและประชาชนมีการตื่นตัวเรื่องนี้กันมาก อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องการขาดองค์ความรู้ที่จะดูแลรักษา ซ่อมแซมอุปกรณ์
“การให้ความช่วยเหลือชุมชนเรื่องของการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงพลังงานนั้น เอาเงินเข้าไปช่วยอย่างเดียวคงไม่ยั่งยืน ต้องให้ความรู้แก่ชุมชนด้วย ซึ่งถือเป็นแนวทางที่ สนพ. ยึดถือปฏิบัติต่อไปในอนาคต”
สำหรับการส่งเสริมพลังงานทดแทนที่แม่ฮ่องสอนนั้น มีทั้งโครงการโรงไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์ และโรงไฟฟ้าพลังงานขนาดเล็กด้วย ซึ่งปัจจุบันนี้เป็น 2 แหล่งพลังงานที่สำคัญของจังหวัด โดยในส่วนของโซลาร์เซลล์เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2547 ที่ผาบ่อง เป็นโครงการความร่วมมือระหว่าง สนพ.และกฟผ. ใช้เงินทั้งสิ้น 187 ล้านบาท ซึ่งเป็นการผลิตและจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบโดยตรง ขนาดกำลังผลิตติดตั้ง 504 กิโลวัตต์ แต่มีการติดตั้งแผงรับแสงอาทิตย์ ขนาด 300 วัตต์ จำนวน 1,680 แผง
“พลังงานแสงอาทิตย์ที่ผลิตได้ก็นำมาใช้เองในจังหวัด แม้จะมีสัดส่วนเพียง 1% แต่ถือเป็นโครงการนำร่องจังหวัดแรกในประเทศไทยที่สามารถผลิตและนำกระแสไฟมาใช้ได้จริงปีละ 4-5 แสนหน่วย ทั้งยังช่วยลดการใช้น้ำมันดีเซลและประหยัดเงินได้ปีละ 5 ล้านกว่าบาท เนื่องจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากดีเซลถือว่าสูงมาก ปัจจุบันจึงใช้เป็นไฟสำรองเท่านั้น”
เล็งเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ
นายวีระพล กล่าวว่า ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมาพบว่ามีปัญหาอุปสรรคในการผลิตกระแสไฟจากพลังงานแสงอาทิตย์บ้าง ทั้งแผงแตกและระบบซอฟต์แวร์ที่ควบคุมการทำงานของโรงไฟฟ้าทำงานคลาดเคลื่อนทำให้โรงงานหยุดเดินเครื่อง แต่เจ้าหน้าที่ของบริษัทเยอรมันจะมาเปลี่ยนและซ่อมแซมให้ เพราะมีการรับประกันไว้ 20 ปี แต่ก็มีการเสียค่าใช้จ่ายครั้งละเป็นแสนจึงให้เจ้าหน้าที่ของโรงไฟฟ้าเรียนรู้และซ่อมแซมเองในบางครั้ง
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพลังงานแสงอาทิตย์ น่าจะเป็นพลังงานที่สำคัญในอนาคต เพราะวัตถุดิบมีอยู่ในธรรมชาติ แต่เนื่องจากต้นทุนการผลิตยังสูงแม้ขณะนี้จะลดลงเมื่อเทียบกับ 7 ปีก่อน เพราะแผงโซลาร์เซลล์ที่ผลิตจากจีนมีราคาถูกกว่าจากเยอรมันครึ่งหนึ่ง หรือตกแผงละ 2 หมื่นบาท ทำให้หลายพื้นที่หันมาใช้กันมากขึ้นและมีบริษัทเอกชนสนใจลงทุนมากขึ้น เพราะกระทรวงพลังงานเองมีการอุดหนุนโดยการจ่ายอัตราส่วนเพิ่มในการรับซื้อไฟฟ้าโดยไม่จำกัดปริมาณอยู่แล้ว แต่ของแม่ฮ่องสอนคงไม่เน้นขยายการลงทุนผลิตกระแสไฟจากพลังงานแสงอาทิตย์ไปมากกว่านี้ เพราะสภาพภูมิประเทศน่าจะเหมาะกับการใช้พลังงานน้ำมากกว่า
สำหรับโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำแม่ฮ่องสอน ที่ อ.เมืองนั้น ถือเป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่ริเริ่มที่จังหวัดนี้เป็นโครงการแรกในประเทศไทยเช่นกัน โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณการก่อสร้างจากรัฐบาลมาตั้งแต่ปี 2511 ประมาณ 20 ล้านบาท และเริ่มจ่ายกระแสไฟฟ้าให้ประชาชนปี 2515 โดยสามารถผลิตไฟฟ้าได้ปีละ 6.9 ล้านหน่วย และมีสายส่งแรงสูงขนาด 22 กิโลวัตต์ที่ป้อนเข้าระบบการจำหน่ายไฟของ กฟภ. ใน อ.เมือง อ.ขุนยวม
นอกจากนี้ ยังมีโครงการแม่สะงา ที่มีกำลังการผลิต 5 พันกิโลวัตต์ และโครงการห้วยโป่งอ่อน ที่มีกำลังการผลิต 110 กิโลวัตต์ ซึ่งถือเป็นโครงการพลังน้ำที่สำคัญ ยังไม่รวมโครงการขนาดเล็กๆ ตามหมู่บ้านและชุมชนอีกหลายแห่ง เนื่องจากแม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดที่มีน้ำและทรัพยากรที่สมบูรณ์ ในอนาคตจึงมีแผนการจะขยายโรงไฟฟ้าเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีกเท่าตัวเพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าของชาวแม่ฮ่องสอนที่เพิ่มมากขึ้นและยังเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านหลังงานให้มีความทัดเทียมกับจังหวัดอื่นๆ ด้วย



