
'บิทแนนซ์ ' ดับเครื่องชน ก.ล.ต ออกคำสั่งมิชอบ บริษัทเสียหาย 300 ล้าน
ธุรกิจศูนย์ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล ภายใต้การดำเนินการ "บิทแนนซ์" กลายเป็นชนวนร้อน เมื่อประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ยื่นเรื่อง " ศาลปกครอง" เอาผิด "ก.ล.ต." และผู้เกี่ยวข้อง ฐานออกคำสั่งมิชอบ สร้างความเสียหายแก่บริษัททะลุ 300 ล้าน พร้อมลุยต่อร้อง ค.ต.ส. , ป.ป.ช.
ที่ศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร นายวรวัฒน์ นาคแนวดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทแนนซ์ จำกัด ผู้พัฒนาซอฟท์แวร์ทางด้านฟินเทค (Fintech : Financial Technology) และ สร้างสรรค์นวัตกรรมด้านการเงินด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน พร้อมทนายความ ได้ยื่นฟ้อง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ก.ล.ต. (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) และอดีตเลขาธิการ ก.ล.ต. น.ส. รื่นวดี สุวรรณมงคล (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) รวมถึงคณะกรรมการ ก.ล.ต. ในสมัยของน.ส.รื่นวดี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) กรณี กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยไม่สุจริต ออกคำสั่งมิชอบ ปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าและละเมิด โดยมีความเสียหายเบื้องต้น 324,803,339.32 บาท ( 324 ล้านบาทเศษ ) ซึ่งยังไม่รวมความเสียหายที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยอีกวันละ 300,743.83 บาท
ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเป็นคดีหมายเลขดำที่ 1727/2566 และคดีหมายเลขดำที่ 1728/2566 ในคดีดังกล่าวนี้ บริษัท บิทแนนซ์ จำกัด เป็นผู้ฟ้องที่ 1 และ นายวรวัฒน์ นาคแนวดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทแนนซ์ จำกัด เป็นผู้ฟ้องที่ 2 สืบเนื่องจากกรณีที่บริษัท บิทแนนซ์ จำกัด ได้ยื่นขอรับใบอนุญาตเพื่อเปิดดำเนินธุรกิจศูนย์ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล กับทางสำนักงาน ก.ล.ต. ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.โดยมี น.ส. รื่นวดี สุวรรณมงคล อดีตเลขาธิการ ก.ล.ต. และคณะกรรมการ ก.ล.ต. ในสมัยของน.ส.
รื่นวดี ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจตรวจสอบเอกสาร พิจารณาคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอรับใบอนุญาต และเสนอแนะความเห็นว่าบุคคลใดควรได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
โดยอ้างว่า บริษัทฯ และนายวรวัฒน์ ไม่มีความพร้อมด้านเอกสาร ระบบงาน และคุณสมบัติของกรรมการ ผู้บริหาร และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ซึ่งเป็นการบิดเบือนต่อข้อเท็จจริงทั้งที่บริษัทฯ ได้รับแจ้งจากทางสำนักงาน ก.ล.ต. ตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค. 2565 ว่าผ่านการพิจารณาคุณสมบัติตามกฎกระทรวงฯ เอกสารเกี่ยวกับด้านธุรกิจและเอกสารด้านไอที รวมถึงการทดสอบระบบเชื่อมต่อกับทางสำนักงาน ก.ล.ต. IWT1 และได้มีการชำระค่าธรรมเนียมคำขอรับใบอนุญาตแล้ว
จึงทำให้ผู้ฟ้องทั้งสองเชื่อว่าบริษัทฯ มีคุณสมบัติครบถ้วนและต้องได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ภายในระยะเวลา 150 วัน แต่สำนักงาน ก.ล.ต. กลับไม่ดำเนินการให้เสร็จสิ้นตามกำหนดระยะเวลาตามที่คู่มือประชาชนได้กำหนดไว้ จึงถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติตาม ทั้งนี้ การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสาม ที่ได้ออกกฎในคู่มือประชาชนในภายหลังจากที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้ผ่านการพิจารณาและตรวจสอบเอกสาร ระบบงาน และคุณสมบัติของกรรมการ ผู้บริหาร และผู้ถือหุ้นรายใหญ่เสร็จสิ้นแล้ว จึงถือเป็นการออกคำสั่งมิชอบ
จำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ ขัดต่อหลักนิติธรรมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 26 และถึงแม้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามจะอ้างว่าออกกฎโดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ก็ตาม ก็ยังถือว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 5 วรรคแรก ที่บัญญัติไว้ว่า "รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎหรือข้อบังคับ หรือการกระทำใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้" ซึ่งต้องให้ศาลพิจารณาต่อไปว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาทุจริตเพื่อจงใจกลั่นแกล้งผู้ฟ้องคดีที่ 1 และ 2 หรือไม่
นอกเหนือจากการฟ้องต่อศาลปกครองแล้ว ยังได้มีการร้องเรียนไปยัง สำนักงานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และจะมีการดำเนินการร้องเรียนไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ดำเนินการสอบสวน ไต่สวน และพิจารณาดำเนินคดีในกรณี ปฏิบัติหน้าที่มิชอบและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ต่อศาลอาญาคดีทุจริตแลประพฤติมิชอบต่อสำนักงาน ก.ล.ต. อดีตเลขาธิการ ก.ล.ต. น.ส.รื่นวดี สุวรรณมงคล และคณะกรรมการ ก.ล.ต.
วรวัฒน์ นาคแนวดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทแนนซ์ จำกัด