
หนุนข้อเสนอวธ.ทบทวนจัดเรตติ้งใหม่
นักวิชาการหนุนข้อเสนอ วธ. ทบทวนจัดเรตติ้งใหม่ กำหนดช่วงเวลาให้เหมาะสมกับเนื้อหาละครโทรทัศน์ ชี้เป็นข้อเสนอของคณะทำงานจัดเรตฯ ที่อิงงานวิจัยต่างชาติ มาตั้งแต่ต้น แต่กลับไม่สามารถบังคับใช้ได้ เพราะผลประโยชน์ทางธุรกิจ เผยผู้จัดพบทุกค่ายเบี่ยงประเด็น อ้างสร้า
จากกรณีที่กระทรวงวัฒนธรรม โหนกระแส ปราบ ละคร “ดอกส้มสีทอง” จนกระทั่งออกมาเสนอให้มีการจัดเรตติ้งละครและภาพยนตร์ใหม่โดยใช้มาตรฐานเดียวกัน รวมถึงเสนอให้จัดช่วงเวลาให้เหมาะสมกับการนำเสนอเนื้อหาละคร เพื่อเป็นการคุ้มครองเด็ก ไม่จำกัดสิทธิ ผู้จัดนำเสนอเนื้อหาโทรทัศน์อย่างเต็มที่ เนื่องจากที่ผ่านมาพบมีปัญหาการนำภาพยนตร์ที่มีเรต “ น 18+” เหมาะสำหรับผู้ชมที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และเร็ต “ฉ 20 ” ห้ามผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปีดู เมื่อออกจากโรงภาพยนตร์แล้วจะมีการนำไปเผยแพร่ซ้ำในรายการโทรทัศน์ต่อ ควรจะจัดฉายอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น ภาพยนตร์ที่ทางคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติจัดเรตไว้ที่ น18 + จะฉายทางโทรทัศน์ได้ต่อเมื่อเวลา 22.30 น. ขึ้นไปไม่เกิน 05.00 น. หรือตี 5 ของวันใหม่ ส่วนเรต ฉ 20 ฉายทางโทรทัศน์ได้หลังเที่ยงคืนแต่ไม่เกิน 05.00 น. หรือตี 5 ของวันใหม่ ซึ่งรวมถึงละครที่จัดอยู่ในเรต น18+ ควรไปอยู่ในช่วงเวลาดังกล่าว เพราะเป็นเวลาที่เด็กและเยาวชนเข้านอนแล้ว เป็นการช่วยรักษาเนื้อหาของบทภาพยนตร์และบทละครไว้เหมือนเดิมได้อย่างที่หลายประเทศในยุโรปมีการกำหนดมาตรฐานคนดูนั้น
เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2554 พญ.พรรณพิมล หล่อตระกูล จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น กรมสุขภาพจิต และ ผู้จัดการโครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม กล่าวว่า ตนในฐานะนักวิชาการที่ร่วมผลักดันการจัดทำเรตติ้งสื่อต่างๆมาโดยตลอด เห็นว่า การกำหนดช่วงเวลาให้เหมาะสมกับเรตติ้ง เช่น ละคร เรต น 18+ ควรฉายหลัง 4 ทุ่ม?ครึ่ง ส่วน ฉ 20 ฉายหลังเที่ยงคืน ถือเป็นเรื่องเดียวที่ไม่สามารถมีผลบังคับใช้ได้ ทั้งๆที่เป็นข้อเสนอหลักโดยอิงงานวิจัยของต่างประเทศมาตั้งแต่ต้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลประโยชน์ทางธุรกิจ อย่างไรก็ตามการที่กระทรวงวัฒนธรรม จะทบทวนการจัดช่วงเวลาการออกอากาศละครให้ตรงกับเรตติ้งใหม่นั้น เป็นเรื่องที่นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะจะเป็นผลดีกับทุกฝ่าย ทำให้มีความเป็นอิสระมากขึ้น ทั้งผู้ผลิต ก็สามารถผลิตผลงานได้อย่างเต็มความตั้งใจ และพิจารณาประพันธ์ให้ตรงกับกลุ่มผู้ชมได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาตลอดกระบวนการรูปแบบการผลิตละคร ให้สอดคล้องกันกับความต้องการมากขึ้น และนำเสนอในเวลาที่เหมาะสม
“การทำให้มีเรตติ้งใหม่ จะทำให้ผู้ผลิตมีความหลากหลายมากขึ้น ผู้ผลิตบางคนอยากทำละครแนวครอบครัว ก็จะสามารถนำมาฉายช่วงเย็น ซึ่งเป็นเวลารายการเด็ก หรือ รายการทั่วไป จะเป็นทางเลือกให้กับผู้ชม หรือ ในกรณีที่ผู้ผลิต อยากผลิตละครอีกกลุ่มที่เป็นรายการผู้ใหญ่ ก็จะจัดไปอยู่ในช่วงหลังข่าว แต่เนื้อหาละคร ก็จะไม่ล่อแหลม หรือ เกินเลยไป ขณะที่ ผู้ผลิตบางรายที่ต้องการผลิตเนื้อหาละคร ที่เข้มข้น มีเนื้อหาที่หนัก ต้องมีการคิดวิเคราะห์ และมีความตั้งใจในการรับชม ที่ประกอบด้วย เรื่องทางเพศ ภาษา และความรุนแรง ก็จะต้องนำไปฉายในช่วงเวลาหลัง 4 ทุ่มขึ้นไป “ พญ. พรรพิมล กล่าว
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น กล่าวต่อไปว่า ส่วนข้อเสนอที่ให้มีการจัดเรตติ้งละครและภาพยนตร์ใหม่โดยใช้มาตรฐานเดียวกันนั้น ในเรื่องนี้ อาจจะมีข้อจำกัดเล็กน้อย เพราะสื่อแต่ละชนิดมีความต่างกันของหลักเกณฑ์การนำเสนอ ทั้งสื่อ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ หรือ ภาพยนตร์ มีธรรมชาติ ของสื่อที่ต่างกัน ดังนั้น จึงจำเป็นจะต้องมาหาข้อสรุปกลาง ในการพิจารณากรอบ หลักเกณฑ์ ของแต่ละสื่อ โดยใช้วิธีคิดหลักเรื่องเรตติ้งที่เหมือนกัน คือ แบ่งระดับ และกำหนดการเผยแพร่ หรือ ช่วงเวลาที่นำเผยแพร่ ให้เหมาะสมของแต่ละเรื่อง
พญ. พรรณพิมล กล่าวอีกว่า สำหรับข้อเสนอของทางกระทรวงวัฒนธรรมจะเป็นไปได้หรือไม่นั้น ตนคิดว่าหากทุกภาคส่วนร่วมแรงร่วมใจกัน ช่วยกันพัฒนาระบบเรตติ้งให้มีคุณภาพ ก็จะเปิดความเป็นอิสระ ให้กับผู้ประกอบการ รวมถึง ในส่วนครอบครัว ก็จะสามารถที่คิดวิเคราะห์ว่า ควรจะดูแลเด็กและเยาวชนในช่วงใด ด้วยเงื่อนไขของการกำหนดช่วงเวลาของเรตติ้งที่ชัดเจน จทำให้มีรายการที่เหมาะสมสำหรับเด็กในช่วงเวลาที่กำหนด ในส่วนภาครัฐเอง ก็จะมีมาตรฐานในการควบคุมดูแลสื่อต่างๆ ดังนั้นหากทุกฝ่ายเคารพกฎกติการ่วมกัน ก็จะทำให้สังคมมีจุดร่วมในการดูแลระบบเรตติ้ง ที่เป็นประโยชน์สำหรับทุกฝ่าย อย่างไรก็ตามขณะนี้ ข้อเรียกร้องทางสังคมก็มีความชัดเจนมากขึ้น ไม่มีใครปฏิเสธเรื่องละคร แต่ถ้าอยู่ในเวลาที่เหมาะสม ก็จะเป็นเรื่องดีในสังคม ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่ามีตัวอย่าง ละครที่มีเรต น.18+ ที่ฉายหลังเวลา 22.00 น อยู่แล้ว และก็ไม่เคยเป็นประเด็น เพราะทุกคนเข้าใจตรงกัน และฉายในเวลาที่ควรจะเป็น ถ้าเราทำได้แบบนี้ทุกเรื่องก็จะไม่เกิดปัญหา
นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า กรณีดอกส้มสีทอง ผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องควรที่จะมีการทบทวนกันดูว่า อะไรขาดหายที่จะต้องเติมเต็มให้สังคม ซึ่งจุดนี้กระตุกให้สังคมได้รับรู้ว่า จะต้องแก้ไขอะไรบ้าง เพราะเมื่อละครกำหนดเรต น.18+ ก็แสดงว่า ต้องการให้ผู้ใหญ่ดู ไม่ใช่ให้เด็กดู ทั้งนี้ ตามพัฒนาการและความเป็นจริงชีวิตมนุษย์ โดยเฉพาะเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี กลุ่มนี้จะเรียนอยู่ชั้นม.ต้น ควรที่จะนอนไปแล้วหลัง 4 ทุ่ม แต่ถ้ายังอยู่หลัง 4 ทุ่ม ก็เป็นความผิดของพ่อแม่ เพราะถ้าให้เด็กอายุน้อยกว่า 15 ปีนอนเกิน 4 ทุ่มก็จะมีผลต่อฮอร์โมนพัฒนาการเติบโตช้าลง ฉะนั้น ละครหรือภาพยนตร์ใดๆทำเพื่อผู้ใหญ่ ควรจัดเรตติ้งให้เหมาะสม รวมทั้งควรวางให้เหมาะสมกับเวลาด้วย คือ หลัง 4 ทุ่ม
“ที่หลายฝ่ายออกมากล่าวว่า ละครที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้เป็นละครสะท้อนสังคม คงไม่ใช่ เพราะอารมณ์คนที่ดูละครขณะนั้นกำลังสนุกเพลิดเพลิน สมองส่วนคิดจะทำงานไม่ทัน เพราะกำลังสนุก ก็จะไม่เกิดกระบวนการเรียนรู้ จะไปกดปุ่มหยุดไม่ได้ ซึ่งละครส่วนใหญ่กระตุ้นสมองส่วนอยากมันเข้าถึงอารมณ์และฝังใจ ฝังชิฟในสมอง หากมีเรตติ้งและจัดให้เหมาะกับช่วงเวลาปัญหาเหล่านี้ก็จะลดลง ที่สำคัญผมอยากจะสะท้อนว่า ทุกวันนี้ละครต่างๆออกมามีฉากเลิฟซีน เซ็กส์ซีน ความรุนแรง เยอะมาก น้อยมากที่จะมีสื่อดีๆ ออกมา แต่ละค่ายบอกว่าเป็นละครสะท้อนสังคม ลองดูละครแต่ละเรื่องทุกวันนี้ มีแต่ฉากกอดจูบ ดาราหญิงโชว์เนินเนื้อ โอบกอด ทุกรายการเป็นแบบนี้ ทำให้คนดูสมองส่วนคิดทำไม่ทัน วิ่งกันซะจนสติวิญญาณวิ่งตามละครไม่ทัน สิ่งที่เกิดขึ้น ผู้หญิง เพศทางเลือก แสดงมากเกินไป ก็ทำให้เด็กทำตาม จึงอยากให้มีการคุ้มครองผู้บริโภค โดยผู้ผลิต ผู้แสดง ควรช่วยมีจิตสำนึกดูแลซึ่งกันและกันด้วย”นพ.สุริยเดว กล่าว