Lifestyle

ทูเล ... ทะเลหมอกสุดขอบตาก

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ชวนเที่ยว : ทูเล ... ทะเลหมอกสุดขอบตาก : เรื่อง / ภาพ ... นพพร วิจิตร์วงษ์

 
                          หนุ่มสาว กะหนุงกะหนิง จูงมือกันขึ้นภูกระดึง เป็นภาพที่เห็นได้บ่อยเมื่อภูกระดึงกลายเป็นขวัญใจของหนุ่มสาวที่แสวงหาธรรมชาติและการผจญภัย แบบไม่หินนัก เพราะตลอดรายทางขึ้นสู่ภูกระดึง มีร้านค้ามากมาย แถมด้วยบนภู ที่ลานกลางเต็นท์และโซนที่พัก ยังมีร้านค้า ร้านอาหาร ขายของที่ระลึก หลายราย จนใครต่อใครเอ่ยปากว่า มีตังค์ก็ไปเที่ยวได้สบายๆ ... แต่นั่นหมายถึงว่าต้องพึ่งกำลังขาในการพาตัวเองขึ้นไปให้ถึงที่หมายด้วยนะ
 
                          ภาพคล้ายกัน แต่เปลี่ยนฉากเป็นสถานที่แห่งใหม่ ขอบตะวันตกของประเทศ ฉันเห็นคนหนุ่มสาว ไปจนถึงสูงวัยนิดๆ พากันมาเดินขึ้นภู โดยมีลูกหาบแบกข้าวของให้  ผิดกันแต่ว่า รายทางและปลายทางที่นี่ ไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไร นอกจากธรรมชาติล้วนๆ ให้ตักตวง 
 
                          ดอยทูเล หรือ ม่อนทูเล เขาหลังบ้านแม่จวาง  ต.ท่าสองยาง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก กำลังชื่อหอมขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องของความมลังมเลืองของทะเลหมอก และความสดใหม่ 
 
                          ภาพของทะเลหมอกที่เคยอยู่ในความทรงจำเมื่อครั้งที่ไปเยือน สมัยยังไม่มีนักท่องเที่ยวขึ้นไป ทำให้ปีใหม่นี้ คิดถึงขึ้นมาอีกหวังจะไปนอนดูทะเลหมอกเงียบๆ แต่เกินคาดเพราะนักท่องเที่ยวไปเยือนช่วงปีใหม่ เยอะเอาการ 
 
                          ฉันเลยเปลี่ยนแผนเดินสวนทางแบบเบาๆ สบายๆ รับปีใหม่เสียหน่อย ถือเป็นเส้นทางใหม่ของฉันไปด้วย จากม่อนคลุย ไปดอยปุย และปิดท้ายที่ทูเล ในระยะเวลา 3 วัน 2 คืน ติดต่อ อบต.ท่าสองยาง ซึ่งอยู่ที่บ้านท่าสองยาง ห่างจากตัวอำเภอเกือบๆ 60 กม. บนเส้นทาง สายแม่สอด-แม่สะเรียง  
 
                          ถึงที่หมาย จัดแจงสัมภาระและเสบียงเสร็จสรรพ เปลี่ยนรถเป็นกระบะ แรงดี เพราะต้องขึ้นไปถึงม่อนคลุย ที่บ้านทีชอแม ปัจจุบันมีเส้นทางรถขึ้นถึง แต่ระยะท้ายๆ เป็นทางดินแดงแคบๆ ขึ้น-ลงเขา    
 
                          จุดเริ่มต้นเดินเท้า อยู่ตรงบริเวณลานกางเต็นท์ ม่อนคลุย ขนาดสายแล้ว แต่ทะเลหมอกที่นี่ยังแน่น แอบดีใจว่าต้องไปเจอทะเลหมอกอลังการที่ม่อนทูเลแน่ๆ แต่เขาบอกว่า เวลาเที่ยวตามสถานที่ธรรมชาติ อย่าได้คาดหวังมาก จะได้ไม่ผิดหวัง 
 
                          แสงแดดแผดร้อน กับระยะทางช่วงแรก เดินไปตามทางดินแดง ที่ตัดผ่านร่องเขา เส้นทางขึ้นลงจึงไม่ชันนัก ก่อนจะไปหยุดพักในราวป่า จากที่ลัดเลาะผ่านดงต้นไม้น้อยใหญ่ไปได้พักหนึ่ง ก็ไปสิ้นสุดที่หน้าผาสูง มองเห็นเขาฝั่งตรงข้ามสูงชัน กับทางเดินทุ่งหญ้า ที่น่าจะเป็นเส้นทางของเราด้วย เกือบท้อกับแสงแดดช่วงเที่ยงวันซะจริงๆ 
 
                          ไม่มีทางบ่ายเบี่ยง พักกันพอหายเหนื่อย ตั้งต้นเดินต่อ คราวนี้เข้าใจถึงความชันของเขาสูงได้ดี เพราะเดินขึ้นกับขึ้น ชนิดที่ต้องยื้อกับแรงโน้มถ่วงของโลกพอควร ฝ่าเปลวแดดร้อนๆ ตามเทรลเดินที่เป็นทุ่งหญ้าริมหน้าผาขึ้นไปเรื่อยๆ  
 
                          พ้นทางชันแรก ถึงได้พักกินข้าวเที่ยง ข้าวห่อที่พกมาลำเลียงออกมาจัดวาง จะนั่งเก้าอี้หรือโต๊ะไหน เลือกได้ตามสะดวก แต่ทุกคนก็มากระจุกอยู่ที่เดียวกัน เพราะมีร่มไม้อยู่แค่ตรงนั้นเอง  (ฮา) 
 
                          ดอยปุย ที่มองไกลๆ เป็นยอดสูงแหลม เห็นเด่นชัด บางทีชาวบ้านก็เรียกเขาแหลม ตอนนี้กำลังมาอยู่ตรงหน้าที่เราจะต้องตัดเลาะข้ามไป ทางสูงขึ้นเรื่อยๆ บางช่วงเป็นสันเขาไม่กว้างนัก มีลมพัดเย็นสบาย ดูเวลากับเส้นทางแล้ว ฉันทิ้งเป้ลงนอนพักริมทางเสียหน่อย หลับไปได้งีบหนึ่งถึงค่อยเดินตามเพื่อนๆ ที่ล่วงหน้าไปก่อน "ทางลงฉันไม่หวั่น ทางชันฉันไม่สู้" มันใช่เลย เดินไปพักไป ไม่นานก็ถึงจุดที่เราจะมาตั้งแคมป์คืนแรกหลังดอยปุย 
 
                          ถึงที่พักเร็ว มีเวลานอนเล่นกันคนละงีบ เหยี่ยวบินมาโชว์ตัวนับได้ตั้ง 13 ตัว แต่เสียดายที่ไม่มีความรู้พอจำแนกได้ว่าเป็นพันธุ์อะไรบ้าง พระจันทร์โผล่มาทักทาย ตั้งแต่ตะวันยังไม่ลับฟ้า จัดแจงหุงหาอาหาร ลมเริ่มส่งสัญญาณความรุนแรงมาเป็นระลอก นั่นไง ... เรามาผูกเปลอยู่ในช่องลมซะแล้ว คืนนี้ทั้งคืนเลยได้เสียงฟรายชีต ที่กระพือลมอยู่เป็นเพื่อนกันทั้งคืน
 
                          วันรุ่งขึ้นตื่นมาพร้อมกับทะเลหมอกที่โลมเลียด้วยแสงแรกของวัน จัดแจงต้มน้ำชงกาแฟ จิบไปถ่ายรูป ดื่มด่ำธรรมชาติไป ช่วงเวลาที่หาไม่ได้ในเมืองใหญ่  พอสายๆ หลังมื้อเช้า เก็บข้าวของ เดินทางกันต่อ โดยย้อนกลับทางเดิมหน่อยแล้วค่อยตัดลงข้างเขา บร๊ะเจ้า ... มันชันดิ๊ก ลงไปจนสุดความชัน แล้วก็ตัดขึ้นทางชันของเขาอีกลูกหนึ่ง แต่เป้าหมายของวันนี้อยู่ใกล้นิดเดียว ข้ามเขาแค่ 2-3 ลูกก็ถึงแล้ว ฉันเลยเดินไปพักไป ถ่ายรูปเล่นกันไป  
 
                          ช่วงนี้เอง ที่เริ่มเดินสวนทางกลับนักท่องเที่ยวอีกหลายๆ กลุ่มที่เดินขึ้นจากทูเล แล้วไปลงที่ม่อนคลุย 
 
                          แค่ราวๆ 2 ชั่วโมง ก็ถึงที่ตั้งแคมป์ริมธารน้ำที่ระดับ 1,300 เมตร แต่... ร่องรอยที่เห็น ได้แต่บอกกับตัวเองว่า ทูเลไม่เหมือนเก่า  
 
                          กับเวลาเหลือๆ ของวัน เราเลยได้ขึ้นไปถึง ยอดทูเล ที่ระดับความสูง 1,650 ม. ซะเลย ตะเวนดูยอดนั้น เหล่ยอดนี้กันเป็นว่าเล่น ถึงยังไง ดอยทูเลก็ยังสวยงามในความเป็นทิวเขาสลับซับซ้อน บางสันก็บางเฉียบราวคมมีด บางสันด้านหนึ่งเป็นทุ่งหญ้าอีกด้านเป็นป่าทึบ 
 
                          จุดชมวิวอาทิตย์ตกและขึ้นยอดทูเล ยังคงสวยงาม ทั้งสีสันของท้องฟ้า ลีลาต้นไม้ และทะเลหมอกพลิ้วไหว แต่อาจเป็นเพราะอากาศแห้งเกินไป ทะเลหมอกเลยมาบางๆ ผิดกับตอนไปช่วงปลายฝนต้นหนาว ย้ำเลย..ใครชอบทะเลหมอกฟูๆ หนานุ่มต้องไปปลายตุลาถึงต้นธันวา   
 
                          ขากลับเราเดินรวดเดียว จนลงจากยอดม่อนทูเล เส้นทางชันๆ ที่ฉันสวนทางกับนักท่องเที่ยวอีกหลายคน และเดินแซงไปอีกหลายคน รวมถึงถูกแซงไปด้วย มีป้ายต้อนรับขึ้นทูเลซะด้วย  อืมมม...หรือที่นี่จะเปลี่ยนไป แต่งตัวต้อนรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น ที่บางคนมาพร้อมกับขยะที่ไม่คิดจะเก็บกลับไปด้วย  สภาพที่เห็นด้านบนบริเวณแคมป์และรายทางเป็นตัวบอกได้ดี  
 
                          ในเส้นทางที่ชัดเจน ฉันเดินไปเรื่อยๆ ลำพัง นึกคิดนั่นนี่ไปในใจ ทักทายนักท่องเที่ยวที่สวนทางมาก แดดร้อนๆ เข้ามาทักทายที่ริมปลายนา บ้านแม่จวาง แสงแดดเป็นระยิบ กับควายที่ยืนอยู่เต็มทุ่ง ดูเวลาเพิ่งจะเที่ยงนิดๆ เอง สงสัยเดินเพลินเลยถึงเร็วกว่าที่คิด
 
                          ดอยทูเล ยืนอำลาฉันอยู่เบื้องหลัง แต่ฉันอาลัยอยากให้ใครต่อใครที่มาเที่ยวที่นี่ รักม่อนทูเล ไม่ทิ้งขยะ เพื่อจะได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวในฝันต่อไปนานๆ
 
 
------------------------
 
 
พักขาที่พุ่ยโค
 
 
 
ทูเล ... ทะเลหมอกสุดขอบตาก
 
 
 
                          ดอยพุ่ยโค หรือดอยพุย (ภาษาท้องถิ่น) เป็นดอยสูงระดับ 1,406 เมตร ในเขตบ้านอุดมเหนือ ต.แม่คะตวน อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน  ถือเป็นดอยพักขาที่ฉันชวนเพื่อนๆ ไปหลังลงมาจากดอยทูเล จากท่าสองยางขึ้นไปสบเมยอีกราวๆ ชั่วโมงเศษ เพราะกำลังขยายถนนบางช่วง นัดแนะกับรถชาวบ้านที่มารับตรงที่ว่าการอำเภอสบเมย (ถ้ารถตู้โหลดหรือรถเก๋งขึ้นลำบาก ควรใช้บริการรถชาวบ้าน) บนดอยไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ต้องเตรียมมาเอง
 
                          ทางขึ้น โรงเรียนบ้านอุมดาเหนือ อยู่ตรงข้ามทางเข้าบ้านแม่คะตวน แวะรับลูกหาบซึ่งก็เป็นนักเรียนที่ ร.ร.บ้านอุมดาเหนือ ก่อนที่รถจะพาเข้าไปส่งตีนดอย เหลือระยะให้เดินขึ้นอีกราวๆ 1 กม. เดินกันตอนเย็นแดดไม่ร้อน ใช้เวลาราวๆ ครึ่งชั่วโมง ก็ถึงยอดด้านบน ช่วงที่ตะวันลับฟ้าไปนานแล้ว 
 
                          เช้ามาถึงได้เห็นทะเลหมอก มาทักทายใกล้ๆ มองเห็นวิวได้เกือบ 360 องศา เดินเล่นกันสบาย ดูปากปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้ว จัดการมื้อเช้าแบบง่ายๆ สายก็เก็บแคมป์เดินลง ราว 15-20 นาที ก็ถึงด้านล่าง 
 
                          เห็นมั้ย ... มาเดินพักขาจริงๆ ด้วย กับบรรยากาศที่ฉันให้ 4 ดาว (ปลายฝนถึงปลายหนาวนะ)
 
 
------------------------
 
(ชวนเที่ยว : ทูเล ... ทะเลหมอกสุดขอบตาก : เรื่อง / ภาพ ... นพพร วิจิตร์วงษ์)
 
 
 
 
 
logoline

ข่าวที่น่าสนใจ