
ช็อก! แก๊งรัสเซียใช้ AI Bot ขายยาบ้า "ไร้ตัวตน" ติด QR code ทั่วกทม.
รอง ผบช.น. นำกำลังทลายแก๊งรัสเซียใช้AI ขายยาเสพติดทั่วกรุง "ไร้เงา-ไร้ตัวตน" หลังแกะรอยจากสติกเกอร์ QR Code ติดข้างทางเป็นภาษารัสเซีย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2568 พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผบช.น. รับผิดชอบด้านยาเสพติด , พล.ต.ต.ชัยกฤต โพธิ์อ๊ะ ผบก.น.6 , พล.ต.ต.เกียรติกุล สนธิเณร ผบก.น.2 , พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.นริศ ปรารถนาพร รอง ผบก.น.6 , พ.ต.อ.พันษา อมราพิทักษ์ ผกก.สน.ยานนาวา , พ.ต.อ.พรเทพ เฉลิมเกียรติ ผกก.สน.สุทธิสาร นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศอ.ปส.ตร.) , ศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจนครบาล (ศอ.ปส.บช.น. ), บก.สส.บช.น. และ สน.ยานนาวา สน.สุทธิสาร
เปิดปฏิบัติการทลายแก็งค์รัสเซีย ยุค 2025 ใช้ AI บงการขายยานรกทั่วกรุงเทพ โดยตรวจค้นและจับกุมตัวผู้ต้องหาชาวรัสเซียทั้งสิ้น 2 ราย นายไอวาน วอลนอพ หรือ MR.IVAN VOLNOV อายุ 34 ปี สัญชาติรัสเซีย และ นายมารค์ มาโอปูโร หรือ MR.MARK MAOLOPURO อายุ 35 ปี สัญชาติ รัสเซีย สามารถจับกุมตัวได้ที่โรงแรมชื่อดังภายใน ซ.เอกมัย 10 กรุงเทพฯ
พฤติการณ์กล่าวคือ ตำรวจศูนย์ยาเสพติดนครบาล ศอ.ปส.บช.น. แกะรอยสติกเกอร์ QR Code ขายยานรก 2025 ใช้ AI ขายยา โดยไม่ต้องสัมผัสของกลาง พร้อมระบบ AI แตกเครือข่ายแบบธุรกิจ Start Up
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 13 พ.ย. 2568 ชุดลาดตระเวน Online ของ พล.ต.ต.ธีรเดช พบเบาะแสจากเพจเฟซบุ๊ก Drama-addict ว่ามี สติ๊กเกอร์ QR Code ขายยาเสพติด ภาษารัสเซียติดตามริมถนนในพื้นที่กรุงเทพฯ จึงแจ้งให้ทุกสน.ในกรุงเทพฯลงตรวจสอบ
จนพบว่ามีสติกเกอร์ดังกล่าวย่านลุมพินี ปทุมวัน และยานนาวา โดยวิเคราะห์ว่าคนร้ายกลุ่มนี้เป็นขบวนการและกระจายอยู่ จึงรายงานให้ พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. ทราบเรื่องนี้ และมอบหมาย พล.ต.ต.ธีรเดช นำชุดปฏิบัติการ ศอ.ปส.บช.น. ร่วมกับ สน.ยานนาวา และ สน.ลุมพินี (พื้นที่พบสติ๊กเกอร์) ลงพื้นที่สืบสวนโดยละเอียด
ซึ่งจากการเดินสำรวจในพื้นที่ที่พบสติ๊กเกอร์ QR Code ปริศนาระบุข้อความ “Thai hub Telegram COCAINE KETAMINE MEPH METH MDMA” ถูกติดไว้ตามจุดพักคอยและเสาไฟฟ้าหลายแห่งทั่วกรุงเทพฯ
เมื่อทำการสืบสวนก็สร้างความประหลาดใจให้กับชุดสืบสวนเป็นอย่างยิ่ง เพราะกรรมวิธีนั้น เสมือนกลุ่มคนร้ายมาจากโลกอนาคต "ไร้เงา-ไร้ตัวตน" ซึ่งล้วนเป็นการใช้เทคโนโลยี AI ในการดำเนินการไปพร้อมๆกับกระบวนการส่งมอบยาเสพติดที่เหนือชั้น โดยแผนประทุษกรรมของคนร้ายกลุ่มนี้คือ เมื่อมีคนสนใจสั่งซื้อยาเสพติดจะทำการสแกน QR Code บนสติ๊กเกอร์นั้น จากนั้นจะถูกนำเข้าสู่แอปพลิเคชั่น Telegram สนทนาซื้อขายยาเสพติด ซึ่งจะมี "AI Bot" ตอบโต้กับลูกค้าที่จะสั่งซื้อยาเสพติดอย่างเบ็ดเสร็จตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่มีมนุษย์หรือแอดมินคอยตอบโต้แม้แต่คนเดียวยากแก่การติดตามตัว
เมื่อถึงขั้นตอนการทำธุรกรรมซื้อขายยาเสพติดนั้นจะรับชำระผ่านสกุลเงินดิจิทัลเท่านั้น โดย Bot จะตรวจสอบยอดเงินเข้าบัญชีแบบเรียลไทม์ หากลูกค้าโอนเงินยาเสพติดให้แล้ว ระบบจะอนุมัติทันทีโดยไม่ต้องใช้สลิปโอนเงิน และขั้นตอนการส่งมอบยาเสพติดนั้นสุดเหนือชั้น เพราะคนร้ายจะไม่ได้เดินทางไปส่งของเมื่อมีการสั่งซื้อ แต่จะให้ลูกค้าเดินทางไปยังจุดที่มีการซุกซ่อนยาเสพติดที่เตรียมไว้อยู่แล้ว ตามจุดต่างๆ ทั่วประเทศ โดย AI Bot จะส่งพิกัดพร้อมภาพจุดซุกซ่อนมาให้ลูกค้าทันทีหลังโอนเงิน เสมือนเกมล่าสมบัติมรณะ ให้ผู้ซื้อเดินทางไป "ขุด" หรือ "หยิบ" ของได้เองในพื้นที่ที่เลือกไว้
และที่ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องยกระดับขบวนการนี้เป็น "มหาภัย" คือ กลยุทธ์การขยายเครือข่ายที่ถูกคิดค้นด้วยมันสมองระดับอัจฉริยะ คือ เมื่อลูกค้าเสร็จสิ้นจากการสั่งซื้อ AI Bot จะเชิญชวนให้ผู้ซื้อผันตัวมาเป็น "ผู้ร่วมธุรกิจ" ผ่านระบบสมาชิก โดยจะมีภารกิจให้ทำหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น
1.แนะนำคนอื่นมาซื้อยาเสพติดจะได้ส่วนลดแบบขั้นบันได
2.การเป็นนักบิน (คนเดินยาเสพติด) โดยจะถูก Ai สั่งการให้นำยาเสพติดไป "ฝัง" หรือ "ซ่อน" ตามที่ต่างๆ โดยการเคลื่อนย้ายลำเลียงยาเสพติดกันเป็นทอดๆ โดยที่สมาชิกต่างคนต่างไม่รู้จักกัน ไม่เคยเห็นหน้ากัน เพื่อป้องกันการถูกจับกุมแล้วซัดทอดถึงตัวการใหญ่
3.การเปิดระบบ API ให้ผู้ที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีสามารถนำ AI Bot ไปสร้างหน้าร้านของตัวเองได้ โดยกินส่วนต่างค่าคอมมิชชั่น ทำให้เครือข่ายนี้สามารถเติบโตได้อย่างไร้ขีดจำกัดและยากต่อการปิดกั้น โดยที่ตัวการแท้จริงไร้ตัวตน เพียงแค่ใช้เทคโนโลยี AI สั่งคอยคำนวณและสั่งการให้ทั้งหมด เมื่อกรรมวิธีก่อเหตุทำได้อย่างเหนือชั้นเข้าขั้น ไร้ตัวตน ไร้เงา ชุดสืบสวนใช้เวลาสืบสวนหลายสัปดาห์
จน พล.ต.ต.ธีรเดช งัดกลยุทธ "เกลือจิ้มเกลือ" สงคราม AI จึงได้เริ่มต้นอย่างแท้จริงในยุค 2025 เมื่อชุดปราบปรามยาเสพติด บช.น. ได้ใช้เทคโนโลยี AI ย้อนเกล็ดองค์กรลับด้วยกรรมวิธีการสืบสวนแห่งโลกอนาคตเพียง 1 สัปดาห์ ได้พบกับตัวการสำคัญในขบวนการ 2 ราย ล้วนเป็นชาวรัสเซีย ซึ่งแผนการสืบสวนโดยใช้ AI ทำให้สืบทราบว่า 1 ในตัวการรายสำคัญ กำลังไปตระเวนขุดหลุม ซุกซ่อนยาเสพติดอยู่ในพื้นที่ย่านพัทยา จ.ชลบุรี ชุดปฏิบัติการ ศอ.ปส.บช.น. และ สน.ยานนาวา มุ่งหน้าติดตามไปอย่างเร่งด่วน
ต่อมาในวันเดียวกัน พล.ต.ต.ธีรเดช นำกำลังเปิดปฏิบัติการ สั่งชุดสืบสวนเข้าชาจน์ MR.MARK ด้วยยุทธวิธีฉับพลัน ป้องกันมิให้คนร้ายปิดล็อคหน้าจอโทรศัพท์และควบคุมตัวไว้ได้ พร้อมตรวจยึดของกลาง โทรศัพท์มือถือซึ่งยังคงค้างอยู่ในหน้าจอแอปพลิเคชั่น Telegram และจากการตรวจค้นรถตู้ต้องสงสัยพบผลิตภัณฑ์กัญชาเป็นจำนวนมาก จากนั้นได้การขยายการจับกุมจนทราบว่า คนร้ายอีก 1 รายที่เป็นคนติดสติ๊กเกอร์นั้นหลบหนีไปอยู่ในละแวกพื้นที่สุทธิสาร จึงได้นำกำลังบุกต่อเนื่อง ไปที่โรงแรมชื่อดังย่านรัชดา รวบตัว MR.IVAN
จากการตรวจค้นห้องพักพบ คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คที่อยู่ในมือ ซึ่งยังคงค้างอยู่ในหน้าจอแอปพลิเคชั่นTelegram และตรวจยึดของกลางใช้ยืนยันการกระทำความผิดอีกหลายรายการ
ในชั้นจับกุม MR.IVAN ให้การปฏิเสธตลอดข้อให้การว่า ในภาพกล้องวงจรปิดคนที่ไปติดสติ๊กเกอร์ QR Code นั้นมิใช่ตนเอง ส่วนที่ตนเองแค็บหน้าจอข่าวที่ QR Code ขายยาเสพติดระบาดนั้น โปรแกรม Wechat มันแค็ปไว้เองตนเองไม่ได้เป็นคนแค็ปหน้าจอ ส่วนภาพถ่ายบนผนังห้องที่ตนเองสวมหมวกใบเดียวกับวันที่ก่อเหตุนั้นน่าจะบังเอิญที่หมวกตนเองไปเหมือนกับคนร้าย และภาพจากกล้องที่เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ตนดูอาจจะเป็นคนที่ใบหน้าคล้ายกับตนเอง ส่วนอื่นๆไม่ขอให้การใดๆ และตนเองเคยพบ MR.MARK แต่ไม่ได้รู้จักหรือสนิทสนมใดๆ
ด้าน MR.MARK ให้การภาคเสธ รับว่า Overstay แต่ปฏิเสธในเรื่องของกัญชา โดยอ้างว่า ตนเองมีใบอนุญาตจากแพทย์ให้ใช้กัญชาได้ และอ้างว่ามีใบอนุญาตให้ขายกัญชาได้ในนามบริษัทโดยตนอาศัยอยู่ในประเทศไทยมาเป็นเวลา 3 ปี แล้ว ตนจะไปๆมาๆหลายจังหวัด ไม่ว่าจะเป็น จ.กรุงเทพ , ชลบุรี (พัทยา) , เชียงใหม่ และหลายๆจังหวัดทางภาคใต้ ส่วนที่ขับรถตู้ตระเวนหอบข้าวของพะลุงพะลังนั้น ตนเองชอบยกหม้อหุงข้าวขึ้นห้องพักไปด้วย แต่เป็นการไปหุงข้าวญี่ปุ่น ไม่ได้ใช้ผลิตกัญชาใดๆ ส่วนทรายแมวใช้ดับกลิ่นนั้น ตนไม่ได้เลี้ยงแมวแต่พกเอาไว้ติดรถเฉยๆ หลังจากนี้ถ้าโดนผลักดันออกนอกประเทศ คงจะกลับไปอยู่กับแฟนที่ประเทศรัสเซีย
พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวว่า การปฏิบัติการครั้งนี้ถือเป็นการตัดไฟแต่ต้นลมอย่างทันท่วงที เพราะกลุ่มคนร้ายใช้กรรมวิธีการที่ล้ำสมัย แปลกใหม่ ทำให้ไม่สามารถสืบสวนติดตามได้ด้วยวิธีปกติ โดยที่น่ากลัวคือโมเดลการขยายธุรกิจค้ายานรกนี้ ทำได้อย่างรวดเร็ว แยบยล และไร้ตัวตน โดยใช้ความรู้ทางเทคโนโลยี AI อย่างไม่สร้างสรรค์ ซึ่งผู้ต้องหาทั้ง 2 รายนี้ถือเป็นตัวการสำคัญของขบวนการนี้อย่างแท้จริง
ปฏิบัติการครั้งนี้สามารถตรวจยึดของ 10 รายการ ดังนี้
1.เงินสด 200,000 บาท
2.รถตู้ GRANVIA สีเทา จำนวน 1 คัน
3.โน๊ตบุ๊ค MacBook Pro จำนวน 2 เครื่อง
4.โทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง (จับกุมฉับพลันล็อคหน้าจอไม่ทัน พบข้อมูลใน Telegram จำนวนมาก)
5.ที่เก็บข้อมูลการ์ดความจำ และ แฟลชไดฟ์ จำนวน 20 ชิ้น (อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลภายใน)
6.สมุดบัญชีธนาคาร 5 เล่ม
7.ช่อดอกกัญชาไม่ทราบสายพันธ์ จำนวน 41 ถุง
8.ยางในกัญชา จำนวน 25 กระปุก
9.เมล็ดกัญชา 20 ห่อ
10.เครื่องบดกัญชา และอุปกรณ์อื่นๆจำนวนมาก



