
พบหลักฐาน DNA คนร้ายปล้นทองนราธิวาส เป็นกลุ่มก่อความไม่สงบ ไม่ใช่จนท.รัฐ
กอ.รมน.ภาค4 พบหลักฐานคนร้ายปล้นทอง ขโมยรถชาวบ้าน 2 คันก่อนก่อเหตุ ส่วน DNA ที่กิดเหตุพบเป็นของกลุ่มก่อความรุนแรง ยืนยันไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ
จากเหตุคนร้ายปล้นทองกลางห้างสรรพสินค้าในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2568 ที่ผ่านมา ทำให้ส่งผลต่อผลกระทบจากความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน นับเป็นการกระทำเยี่ยงโจร สะท้อนเจตนาที่ชัดเจนของผู้ก่อเหตุในการใช้ความรุนแรงเพื่อหวังประโยชน์ทางการเงิน เพื่อมาหล่อเลี้ยงกลุ่มขบวนการ แต่ยังมีบางกลุ่มกล่าวอ้างและพยายามบิดเบือนข้อมูล สร้างความเข้าใจผิด ว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
7 ต.ค. 2568 คืบหน้าล่าสุด ผลการตรวจสอบหลักฐานซึ่งเป็นรถยนต์ที่พบจอดทิ้งไว้บริเวณบ้านตอออ หมู่ที่ 1 ตำบลกายูคละ อ.แว้ง จ.นราธิวาส จำนวน 2 คัน ตรงกับรถยนต์ที่ผู้เสียหาย 2 ราย แจ้งความว่าถูกปล้นรถยนต์ และได้ลงบันทึกประจำวันไว้ ณ สถานีตำรวจภูธรสุไหงปาดี จ.นราธิวาส ก่อนคนร้ายจะนำมาใช้เป็นพาหนะในการก่อเหตุปล้นทองกลางห้างในพื้นที่ สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ทราบรายละเอียดดังนี้
- คันที่ 1 รถยนต์ กระบะยี่ห้อ อีซูซุ สีเทา ทะเบียน กค 6521 นราธิวาส ซึ่งเป็นรถของนายมะอูเซ็ง แจ๊ะมะ อายุ 63 ปี อยู่บ้านเลขที่ 277 หมู่ที่ 4 ตำบลปะลุรู อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส
- คันที่ 2 รถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า สีเทา ทะเบียน บท 7187 ปัตตานี ซึ่งเป็นรถของนายการี เต็ง อายุ 69 ปี อยู่บ้านเลขที่ 95/4 หมู่ที่ 5 ตำบลบูกิต อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส
นอกจากนี้ DNA ที่เก็บได้ ระบุได้ชัดว่าเป็นการกระทำของผู้ก่อเหตุรุนแรง เพราะผลพิสูจน์ DNA ในรถที่เกิดเหตุ พบว่าตรงกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีความมั่นคงและจะได้ติดตามเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป
ทั้งนี้หากมีความคืบหน้า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า จะแจ้งให้ทราบต่อไป และขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ช่วยกันสอดส่องดูแลพื้นที่หากพบเห็นบุคคลต้องสงสัยหรือวัตถุต้องสงสัยหรือข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการติดตามผู้ก่อเหตุ สามารถแจ้งเบอร์สายด่วน กอ.รมน.ภาค 4 สน. โทร.1341 หรือหน่วยเฉพาะกิจใกล้บ้านได้ตลอด 24 ชั่วโมง และย้ำว่า ผู้สนับสนุนผู้ก่อเหตุรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการให้ที่พักพิง ซ่อนตัว หรือจัดหาเสบียง ถือว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 อาจถูกจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ