
เพื่อนบ้าน เสียใจและยังผวา เสียงกรีดร้อง 7 ชีวิตถูกไฟคลอกดับ
เปิดใจเพื่อนบ้าน เล่าทั้งน้ำตา ยังฝังใจเสียงกรีดร้อง 7 ชีวิต ทำใจไม่ได้ อีกรายเผย ขณะเกิดเหตุไฟไหม้โทรหาคนในบ้าน ยังรับสาย ก่อนสิ้นใจ
จากเหตุโศกนาฏกรรม ไฟไหม้บ้านหลังหนึ่งในซอยทางไผ่ 2 ต.ท่าประดู่ อ.เมือง จ.ระยอง คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ถึง 7 ราย เมื่อวันที่ 2 ต.ค.ที่ผ่านมา
นางสุมิตรา อายุ 64 ปี เพื่อนบ้านซึ่งอาศัยอยู่ติดกับบ้านผู้เสียชีวิต เปิดใจกับผู้สื่อข่าวด้วยน้ำตาคลอเบ้า เล่าถึงความรู้สึกที่ยังไม่อาจก้าวข้ามความเศร้าสลดว่า ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงตอนนี้ผ่านมาเพียงคืนเดียว ทุกคนในละแวกยังคงหวาดผวาและหดหู่กับภาพเหตุการณ์ เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือของผู้เสียชีวิตยังดังก้องอยู่ในหัว "เสียงกรีดร้อง มันฝังใจ"
เธอ เล่าทั้งน้ำตา พร้อมเผยว่า หลายครอบครัวรอบๆ บ้านต้องย้ายไปพักที่อื่นชั่วคราว เพราะไม่สามารถทำใจอยู่กับบรรยากาศอันน่าหดหู่ ภาพเหตุการณ์ยังติดตา เพื่อนบ้านรายนี้ยังอยากแก้ข่าวแทนครอบครัวผู้เสียชีวิตว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่ความประมาท แต่คาดว่าเป็นอุบัติเหตุไฟไหม้ที่ไม่มีใครคาดคิด "อยากให้เขาจากไปอย่างสงบ ไม่อยากให้มีใครไปพูดให้คนตายไม่สงบ เพราะจริง ๆ เขาเป็นครอบครัวที่ดีมาก สู้ชีวิตมาตลอด"
เธอเล่าต่อว่า ภาพที่ยังติดตาคือร่างทั้ง 7 ที่ถูกเคลื่อนออกมานอนเรียงกัน โดยเฉพาะภาพแม่ที่กอดลูกไว้แน่น "มันสลดจนพูดไม่ออก เด็กคนนั้นฉันก็เลี้ยงมา หลังบ้านยังมีทรายที่เขาเพิ่งเล่นกันไม่กี่วันก่อน ข้าวของในตู้เย็นก็ยังเป็นของที่บ้านเขาแบ่งปันมาให้" พร้อมย้ำว่าครอบครัวนี้เป็นคนจิตใจดี มีน้ำใจ แม้ต้องแบกรับภาระหนัก แต่ก็เลี้ยงลูกมาอย่างดี เป็นที่รักของคนในชุมชน นี่คือโศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น มันจะฝังใจคนในละแวกนี้ไปอีกนาน
ขณะที่ นายชินวร อายุ 54 ปี เจ้าของบ้านฝั่งตรงข้ามที่มีกล้องวงจรปิดบันทึกเหตุการณ์ไว้ได้ เล่าว่า ขณะเกิดเหตุเห็นเพลิงและกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง แฟนของตนรีบโทรศัพท์ไปยังคนในบ้านหลังที่เกิดเหตุ ซึ่งเจ้าตัวยังรับสาย แต่กลับไม่รู้เลยว่าไฟกำลังไหม้บ้านตัวเอง และยังถามกลับมาว่า "ไฟไหม้ที่ไหน" ขณะที่เพลิงลุกโหมหนักจนไม่มีใครเข้าไปช่วยได้ทัน ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียง รวมทั้งตนเอง ต่างช่วยกันตักน้ำและหาทางดับไฟ พร้อมโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ซึ่งรีบมาถึงในเวลาประมาณ 5 นาที แม้ทุกคนพยายามอย่างเต็มกำลัง แต่ความรุนแรงของเพลิงและควันที่หนาทำให้ไม่สามารถฝ่าเข้าไปช่วยผู้ที่ติดอยู่ภายในได้
นายชินวร ยังเล่าเพิ่มเติมว่า ครอบครัวผู้เสียชีวิตใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ประกอบอาชีพทำอาหารขายตามตลาด ตนเองก็มักซื้ออาหารจากครอบครัวนี้อยู่เสมอ และยังเคยเล่นกับ "น้องอิคคิว" เด็กชายตัวเล็กที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ด้วย เมื่อวานยังเห็นหน้ากันอยู่เลย ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องร้ายแบบนี้ขึ้น เหตุการณ์ดังกล่าวจึงยิ่งสร้างความสะเทือนใจแก่คนในชุมชน เพราะครอบครัวผู้เสียชีวิตถือเป็นคนทำมาหากินปกติ ก่อนเข้านอนโดยไม่รู้เลยว่ากำลังจะเจอกับโศกนาฏกรรมที่พรากชีวิตไปทั้งครอบครัว