
ร้องสื่อ ถูกเจ้าหน้าที่ รพ. ใช้ขับรถหลวงเมาแล้วขับ ชนรถพังยับ
เมียหมอ งัดภาพกล้องหน้ารถร้องขอความเป็นธรรม เจ้าหน้าที่ รพ. เมาแล้วขับขณะเข้าเวร ชนรถพังยับ วัดแอลกอฮอล์ได้ 126 mg
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีผู้ใช้ แพลตฟอร์ม ติ๊กต๊อก ชื่อ yui_amonwan789 ได้โพสต์แชร์คลิปกล้องวีดีโอหน้ารถ พร้อมกับลงรายละเอียดข้อความไว้ว่า จะจัดการยังไงกับเจ้าหน้าที่ของรัฐขับรถหลวง (สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข) เมาเเล้วขับขณะปฏิบัติหน้าที่ (เป่าแอลกอฮอล์ ได้ 126 mg) ณ ขณะนี้ยังไม่ได้ความรับผิดชอบเลย รถ รพ. แห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี ร้องเรียนหน่วยงานไหนได้บ้างคะ #ถามหาความยุติธรรม #เมาแล้วขับ? #เฮียขับรถ
โดยภาพคลิปวีดีโอกล้องหน้ารถจับภาพเหตุการณ์ ติดตามรถยนต์เก๋งคันสีเทาที่อยู่ด้านหน้า พอถึงช่วงทางแยกได้มีรถยนต์กระบะคันสีขาว ขับพุ่งออกมาจากซอยศาลหลักเมืองอย่างเร็ว ซึ่งเป็นจังหวะที่มีรถยนต์เก๋งคันสีเทา ขับผ่านมาพอดีทำให้รถยนต์กระบะขาวพุ่งชนรถยนต์เก๋งคันสีเทา เข้าอย่างแรงจนไปอัดติดกับกำแพง
นอกจากนี้ ผู้โพตส์ ยังได้เขียนลงข้อความไว้ในคลิปวีดีโอว่า "จนท.รพ.แห่งหนึ่ง เมาแล้วขับขณะปฏิบัติหน้าที่ ได้หรอ ยับเยิน น่าจะขายซาก รถคู่กรณี" และข้อความสุดท้าย "จะจัดการยังไงกับเจ้าหน้าที่ของรัฐขับรถหลวง เมาเเล้วขับขณะปฏิบัติหน้าที่ ขณะนี้ยังไม่ได้รับความรับผิดชอบใดๆ รถ รพ.แห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี"
หลังจากนั้นผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยังผู้โพสต์ดังกล่าวและเดินทางไปพบ 2 สามีภรรยา ชื่อนางอมลวรรณและนายแพทย์ณัฐวุฒิ นายแพทย์์นิติเวชของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง โดยทั้ง 2 แสดงคลิปกล้องหน้ารถในวันที่เกิดเหตุรวมถึงความเสียหายของรถยนต์เก๋งและหลักฐานแก้วน้ำพลาสติกที่วางอยู่ข้างประตูฝั่งซ้ายและน้ำที่หกอยู่ตรงคันเกียร์ซึ่งมีกลิ่นคล้ายเหล้า-เบียร์
นางอมลวรรณ เล่าถึงจุดประสงค์ที่ตนเองนำไปลงในสื่อโซเชียลว่า ก็เพื่อเป็นคติเตือนใจ ขณะที่เราปฏิบัติหน้าที่เราอยู่ในหน่วยงานกระทรวงสาธารณสุข เราเป็นตัวอย่างเราแจ้งใครต่อใครว่า เราไม่ควรเมาแล้วขับ แต่เรามาประพฤติปฏิบัติตนแบบนี้ซะเอง เป็นสิ่งที่ดูแล้วคือจะต้องมีการติติงกันแล้ว
แล้วก็จะต้องมาฉุกคิดจะต้องเป็นกรณีศึกษาแล้วว่า มันยังสมควรจะทําแบบนี้ต่อไหมและด้วยความว่าการเมาแล้วขับเป็นสิ่งที่ทําให้ผู้อื่นเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของทรัพย์สิน การเสียใจกับทรัพย์ทรัพย์สินที่เราเสียหายไป แล้วก็ในเรื่องของร่างกาย ถ้าเกิดแบบชนโดนเต็มๆก็อาจจะเป็นในเรื่องของการเสียชีวิตหรือการบาดเจ็บสาหัส
นางอมลวรรณ ยังอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยรับผิดชอบให้มันสมเหตุสมผลเพราะ รถหนึ่งคันเราไม่ได้หามาได้ง่ายๆ มันไม่ใช่ราคาบาท 2 บาท แม้ระยะเวลาในการใช้งานมันจะยาวนาน แต่มันก็มีคุณค่าทางจิตใจและอยากฝากให้ผู้บริหารในหน่วยงานรัฐอีกหน่วยงานนึงได้รับทราบแล้วก็โปรดกลับไปพิจารณา ในเรื่องของข้อตกลงคิดว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมกับทรัพย์ที่เราเสียไป เพราะว่าเราไม่ได้อยากสูญเสียทรัพย์ตรงนี้ไป รถยังใช้งานได้ดีอยู่ มันมีคุณค่าทางจิตใจ
สิ่งที่เสนอมารู้สึกว่า มันกระทบกระเทือนจิตใจมาก มันเหมือนเป็นการด้อยค่าว่าเรามีค่าแค่นี้เหรอ ครั้งแรกยื่นมาที่ราคาถ้าจําไม่ผิดรู้สึกว่าจะเป็น 40,000 บาท มันก็เลยรู้สึกว่า ถ้าเกิด 40,000 บาท ก็รถคันนึงเนี่ยใน ณ ปัจจุบันนี้ แม้กระทั่งรถมือ 2 เนี่ย มันจะต้องต้องได้สภาพไหน ซึ่งลดสภาพของเรานี่เราสามารถใช้งานได้อีกหลาย 10 ปี เพราะว่ามันมีคุณค่าทางจิตใจด้วย ก็เลยรู้สึกว่า มันไม่สมเหตุสมผล
ส่วนทางด้านนายแพทย์ณัฐวุฒิ เล่าต่อว่า เหตุเกิดเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 12 ก.ค. ที่ผ่านมา ตนเดินทางไปที่อู่ซ่อมรถยนต์ แถวบริเวณเลี่ยงเมืองสระบุรี ฝั่งเสาไห้ เพราะว่าได้รับการโทรแจ้งจากเจ้าของอู่ให้ไปรับรถที่แจ้งเคลมไปเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ระหว่างขับกลับมาที่โรงพยาบาล ช่วงบ่าย 3 โมง บริเวณถนนศาลหลักเมือง มีรถคู่กรณีขับพุ่งมาจากทางด้านขวามือตนแบบเร็วมาก เท่าที่เย็ตอนนั้นเป็นรถกระบะ เซึ่งขณะนั้นผมยังไม่ทันได้เอาเท้าเริ่มเหยียบเบรกมันก็เกิดแรงชนกระแทก ทําให้ตนโดนเหวี่ยงไปทางซ้ายมือแล้วก็ทําให้รถผมพุ่งไปชนกําแพงแล้วก็ถุงลมในรถมันก็ระเบิดขึ้นมา
ซึ่งตนใส่แว่นระหว่างขับรถ ทําให้แว่นกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง แต่ก็ยังรู้สึกตัวดีอยู่และได้พยายามออกจากตัวรถ แต่ออกไม่ได้เพราะว่าประตูมันหนักขึ้นซึ่งอาจจะเกิดจากแรงชนกระแทก ส่วนอาการบาดเจ็บตอนนั้นก็ยังไม่ได้รู้สึกว่าเจ็บปวดอะไร น่าจะตื่นเต้นและหาแว่นอยู่นานหลายนาทีก็หาไม่เจอ ก็เลยต้องลงจากรถดันออกมาก่อน แล้วก็ต้องเช็คร่างกายดูนิดนึงว่า เป็นอะไรเปล่า แต่ก็ต้องรีบวิ่งไปที่รถคู่กรณี กลัวเค้าหนีไปเพราะว่าระยะห่างมันก็ห่างกันอยู่ระดับนึงครับมันไม่ได้อยู่ติดกัน
จากนั้นคู่กรณีก็ลงมาจากรถในสภาพแบบมึนงง เพราะสังเกตก็คือเค้ามีอาการพูดคุยช้ากว่าปกติ ตอนแรกก็ไม่ได้กลิ่น แต่พอเปิดประตูเข้าไปดูแบบในรถเค้า ก็ได้กลิ่นชัดเจนแล้วก็มีแก้วเบียร์อยู่ในรถด้วย ก็เลยทําการโทรเรียกเจ้าหน้าที่ตํารวจ ซึ่งอยู่ห่างประมาณ 400 เมตร แล้วก็โทรเรียกบริษัทประกันของผมให้มาที่เกิดเหตุ และได้พูดคุยสอบถามกับคู่กรณีว่า เค้าเป็นใครมาจากไหน จึงทราบว่า เป็นหน่วยงานเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลรัฐปฏิบัติงานเวรภารกิจแถวนั้น
จากการตรวจสอบวัดปริมาณแอลกอฮอลล์ เป่าได้ 126 แล้ว เขาเมาแน่นอน จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยปกติแล้วรถหลวงมันก็คือสังกัดหน่วยงานรัฐก็คือกระทรวงสาธารณสุขอยู่แล้ว ซึ่งเป็นผู้นําด้านสุขภาพของประเทศเป็นแบบอย่างในการแนะนําปฏิบัติของประชาชนมีคุณประโยชน์มานาน เป็นแบบที่ใครก็ต้องรู้ว่าระหว่างขับรถไม่ควรที่จะดื่มแอลกอฮอล์แม้แต่น้อย แต่เขากับละเมิดเองแบบนี้ที่แบบไม่รู้ว่า เป็นความจงใจ หรือว่า เป็นความประมาท ซึ่งแบบเป็นความผิดที่ไม่สามารถรับได้
ทางฝ่ายคู่กรณีได้ติดต่อมาช่วงเย็น มีโทรมารอบนึงน่าจะเป็นหัวหน้าพยาบาลถามอาการผมเป็นยังไงบ้างและเมื่อวันจันทร์ที่ 14 ก.ค. เค้าติดต่อมาหาตอนบ่ายโมง ที่โรงบาลสระบุรี เอากระเช้าผลไม้มาให้และติดต่อสอบถามผมก็ยื่นค่าเสียหายไป และบอกคู่กรณีว่า อยู่ดีๆพี่มาชนรถผมอย่างพังหมด ไม่สามารถใช้ประโยชน์ทํางานหรืออะไรได้ ผมก็ไม่ขออะไรมาก ขอรถใหม่แทนเป็นรุ่นเดิม เค้าก็แบบไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร ก็แค่รับทราบกันไว้และก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย