
ชีวิต "สายประสิทธิ์" นักวิชาการสู่จำเลยสังคม คดี "บอส อยู่วิทยา"
"รศ.ดร.สายประสิทธิ์" ตัดพ้อถูกตราหน้าช่วยคดี "บอส อยู่วิทยา" ตกเป็นจำเลยสังคม นานนับ 10 ปี แม้แต่คนใกล้ตัวยังเชื่อ ปัจจุบันพิสูจน์ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์
ภายหลังเมื่อช่วงเดือนเมษายน 2568 ศาลอาญาคดีทุจริตฯ มีคำพิพากษายกฟ้อง 7 ราย ในคดีเปลี่ยนความเร็วรถ "บอส อยู่วิทยา" แต่สั่งจำคุก 2 อดีตอัยการ
โดย รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม รองศาตราจารย์ด้านวิศวกรรมเครื่องกล ผู้เชี่ยวชาญด้านความเร็วรถ 1 ในจำเลยในศาลยกฟ้อง ออกมาเปิดใจถึงชีวิตที่ผ่านมาถูกกล่าวหาช่วยเหลือคดี บอส อยู่วิทยา ว่า ตนคิดว่าสังคมส่วนใหญ่ยังไม่รับรู้อย่างลึกซึ้งถึงกระบวนการต่างๆ ของวิชาการว่าทำกันอย่างไร ในแวดวงตนส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับต่างชาติ พวกเขารู้ว่าตนทำงานอย่างไร ความปลอดภัยของยานยนต์เป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น วิธีการต่างๆ เราได้ทำตามมาตรฐานของสากลทั้งหมด ทุกอย่างอยู่ในมาตรฐานของวิธีการและตัวเลข ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถวิเคราะห์ได้
ยอมรับว่า ชีวิตหลังจากถูกข้อกล่าวหา มีความลำบากมาก เพราะแม้แต่คนใกล้ชิด ก็คิดว่าตนเปลี่ยนแปลงความเร็วที่เกิดขึ้น หรือ แม้แต่ญาติพี่น้องก็ยังตามกระแสสังคมไป ตลอดชีวิตการทำงาน ตนทำคดีช่วยเหลือสังคมจนได้รับหนังสือขอบคุณมากมาย และเคยได้รับรางวัลจากนายกรัฐมนตรี และรางวัลระดับนานาชาติ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เชิดชูใจของตนไว้ แต่จากเหตุการณ์นี้ตนต้องถอยมาดูตัวเองว่า สิ่งที่ทำไปนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แง่ลบมันบั่นทอนจิตใจของตนมากเกินไป แต่แง่บวกก็ทำให้สังคมได้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น ถึงจะต้องใช้ระยะเวลาในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนานแค่ไหนก็ตาม
"หากย้อนเวลากลับไป ผมยังคงจะให้คำแนะนำจากเหตุการณ์นี้ แต่คงทำได้เพียงให้คำแนะนำ ไม่เอาตัวเข้าไปยุ่งมาก ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเขาจัดการไป อาชีพผมเป็นอาจารย์ เวลามีคนมาถาม ผมก็ช่วย ใครขอร้องอะไรมาเราก็ช่วยไป แต่ที่ผ่านมาผมกลายเป็นจำเลยสังคม ซึ่งก็ต้องยอมรับสภาพและรอเวลาให้ความจริงปรากฏขึ้น และบทสรุปสุดท้ายเมื่อความจริงปรากฏขึ้น ความเท็จทุกสิ่งอย่างย่อมสูญสลายไป เพราะผมคือคนที่ให้เหตุผลในทางวิชาการใกล้เคียงกับหลักสากลมากที่สุด"
รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เล่าย้อนถึงช่วงขณะที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับความเร็วรถคดี บอส อยู่วิทยา ว่า ในคำพิพากษาประเด็นที่มีการเอา ดร.เฮอร์แมน สเตฟานส์ (Dr.Hermann Steffan) มาขึ้นเบิกความในศาลไทย โดยเมื่อศาลไต่สวนได้ให้ความน่าเชื่อถือเเละเขียนไว้ในคำพิพากษาที่ว่า การคำนวณความเร็วของรถยนต์ และการประชุม เพื่อแสดงวิธีการคำนวณความเร็วสามารถกระทำได้โดยชอบหรือไม่
ซึ่งศาลมองว่า การร้องขอความเป็นธรรมของทนายบอสและคำสั่งของอัยการให้สอบสวน เจ้าหน้าที่กลุ่มงานตรวจสอบทางเคมี ฟิสิกส์ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ที่ให้คำนวณความเร็วรถเพิ่มเติมประกอบสภาพของความเสียหายรถยนต์ว่า รถยนต์ควรแล่นด้วยความเร็วอย่างน้อยกี่กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายและการหาคำตอบในข้อสงสัย เพื่อคำนวณหาความเร็วที่ถูกต้อง ชัดเจน แม่นยำในหลักวิชาการ ด้วยเหตุว่า ก่อนหน้านี้ก็มี พ.ต.ท.สมยศ เเอบเนียน ผู้ชำนาญการตรวจสภาพรถยนต์ให้ความเห็นว่า ความเสียหายของรถยนต์และจักรยานยนต์มีความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. ขณะที่ พ.ต.ท.สุรพล เดชรัตนวิชัย ผู้เชี่ยวชาญของศาลและผู้ชำนาญการพิเศษ ในการตรวจพิสูจน์เครื่องกลและเครื่องอุปกรณ์ส่วนควบของรถยนต์ที่เกี่ยวเนื่องกับอุบัติเหตุ ก็มีความเห็นว่า สภาพความเสียหายของรถไม่รุนแรง อยู่ในระดับปานกลาง สันนิษฐานว่าขณะชนความเร็ว 70-80 กม./ชม. ไว้เช่นกัน
สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางไต่สวน ดร.เฮอร์แมน บุคคลที่มีโปรไฟล์ระดับโลก จบการศึกษาปริญญาเอกด้านวิศวกรรมเครื่องกล ได้รับอนุญาตให้สอนในระดับมหาวิทยาลัยในสหภาพยุโรป ดำรงตำแหน่ง ผอ.ทางวิทยาศาสตร์ของศูนย์ความสามารถในด้านยานพาหนะเสมือนจริง VIF เป็น CEO ขององค์กรแห่งสหภาพยุโรปของผู้เชี่ยวชาญอุบัติเหตุ (EVU) และเป็นผู้เชี่ยวชาญการย้อนรอยอุบัติเหตุยานยนต์ที่ได้รับการรับรองจากศาลหลักของประเทศออสเตรียที่ให้ความเห็นทางวิชาการประมาณ 500 คดีต่อปี ในเรื่องการเบิกความ 90% เกี่ยวกับอุบัติเหตุการจราจร และเป็นผู้คิดและพัฒนาชอฟต์แวร์ PC-CRASH จำลองการเกิดอุบัติเหตุมาประมาณ 30 ปี ขายใบอนุญาตกว่า 7,000 ใบ มีผู้ใช้มากกว่า 13,000 คนทั่วโลก และซอฟต์แวร์ตัวนี้เป็นที่นิยมใช้มากที่สุดในโลก มีประเทศที่ใช้ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน และสหภาพยุโรป สามารถสร้างแบบจำลองอุบัติเหตุทั่วโลก โดยซอฟต์แวร์มีความแม่นยำ 100 %
ท้ายที่สุดศาลพิเคราะห์มีความเห็นต่างจาก เจ้าหน้าที่กลุ่มงานตรวจสอบทางเคมี ฟิสิกส์ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ที่เห็นว่าความเร็ว 177 กม./ชม. โดยไม่ได้นำความเห็นของผู้เชี่ยวชาญอื่นมาพิจารณา ไม่ได้มีการสอบทวนผลความเร็วว่า หากรถยนต์มี 177กม./ชม. รถจักรยานยนต์จะความเร็วที่ 60 กม./ชม.แล้วจะมีการชนกันได้หรือไม่ ที่ระยะทางเท่าใด หากชนเมื่อลากเส้นจากจุดพบ จะชนที่ตำแหน่งเลยจากกล้องวงจรปิดทำมุมเท่าใด อันจะทำให้เกิดความแม่นยำน่าเชื่อถือ แสดงให้เห็นว่า การสอบสวนคดีนี้มีข้อสงสัยเกี่ยวกับความเร็วของรถยนต์และรถจักรยานยนต์ว่ามีความเร็วเท่าใดกันแน่ แสดงให้เห็นความไม่แน่นอน แตกต่างเป็นอย่างมากและส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ
ในคำพิพากษาศาลให้ความเห็นไว้อีกว่า การคิดหรือการวิเคราะห์ของรายงานการเกิดอุบัติเหตุของ ดร.เฮอร์แมน สเตฟานส์ มีหลายวิธีการ เช่น
1.คำนวณความเร็วจากหน้ากล้อง CCTV ใช้หลักพื้นฐานการคำนวณความเร็วใช้สูตรคำนวณของหลัก ฟิสิกส์ซึ่งเป็นสากลทั่วโลกสูตรเดียว คือ ระยะทางหารด้วยระยะเวลา
2.ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์การย้อนรอยอุบัติเหตุ (ขั้นสูงขึ้น) หรือประมวลในซอฟต์แวร์ PC-CRASH สามารถทวนสอบและตรวจสอบหลักฐานข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุ
3.ทดสอบเชิงประจักษ์ หรือการย้อนรอยอุบัติเหตุ ด้วยการทดสอบการชนจริงของรถยนต์กับรถจักรยานยนต์คันรุ่นเดียวกัน เพื่อเปรียบเทียบการยุบและตำแหน่งการกระแทกของศีรษะบนกระจกรถเปรียบเทียบกับข้อมูลอุบัติเหตุจริง (จากการทดสอบจริงอย่างละเอียดถ้าชนด้วยความเร็วแบบนั้น
โดยใช้การทดสอบเทียบจากของจริงอย่างละเอียด ไม่ได้เเค่นั่งหน้าจอเท่านั้น จุดกระเด็นหรือตกกระทบบนกระจก ผู้เสียชีวิตจะต้องอยู่สูงกว่านั้น)
ซึ่งเมื่อใช้ทั้ง 3 วิธีการในการทดสอบเพื่อหาความเร็วของรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในคดี “บอส อยู่วิทยา” จะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างไปจากการคำนวณความเร็วของ เจ้าหน้าที่กลุ่มงานตรวจสอบทางเคมี ฟิสิกส์ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ที่ใช้เพียงวิธีการที่ 1 เท่านั้น เพราะหากใช้วิธีทดสอบเฉพาะจากกล้องวงจรปิดเพียงอย่างเดียว ผลจะไม่น่าเชื่อถือ เพราะกล้องวงจรปิดมีคุณภาพและอัตราต่อเฟรมที่คุณภาพไม่ดี ตำแหน่งจุดที่ชนข้อมูลที่ได้จากกล้องวงจรปิดก็ไม่ใช่ตำแหน่งเดียวกัน ทำให้เกิดความผิดพลาดได้มาก
โดยพยานคำนวณความเร็วจากการนับเฟรมภาพแบบวิธีแรก โดยคำนวณได้ความเร็วประมาณ 78 กม./ชม. เมื่อใช้ซอฟต์แวร์ PC-CRASH ในการประมวลผลหลายครั้ง ดังนั้น การชนที่จะทำให้เกิดความเสียหายตามสภาพ ก็ได้ความเร็วรถยนต์ประมาณ 80 กม./ชม. ความเร็วของจักรยานยนต์ประมาณ 27 กม./ชม.
นอกจากนี้การทดสอบจำลองเหตุการณ์จริง ครั้งแรกนำรถยนต์ Toyota Celica ที่มีขนาดใกล้เคียงกับรถยนต์ Ferrari รุ่น FF มาลองทดสอบชนกับรถจักรยานยนต์รุ่นเดียวกันกับที่เกิดเหตุเพื่อเทียบเคียงข้อมูลก่อน ส่วนครั้งที่สองใช้รถยนต์ Ferrari รุ่น FF ซึ่งเป็นรุ่นและขนาดเดียวกันกับรถยนต์ ขณะเกิดเหตุ และนำรถจักรยานยนต์รุ่นเดียวกันกับวันเกิดเหตุมาทดลองชนซ้ำจริงอีกครั้ง โดยติดตั้งระบบอัตโนมัติให้ความเร็วของรถยนต์เฟอร์รารี่ที่ 80 กม./ชม. ความเร็วของจักรยานยนต์ 27 กม./ชม. ผลการทดสอบปรากฏว่า ความเสียหายที่เกิดกับรถยนต์ที่ทดสอบใกล้เคียงกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุจริง โดยมีการเปรียบเทียบความลึกรถยนต์คันที่ทดสอบเสียรูปทรงมากกว่ารถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุจริงเล็กน้อย คำนวณย้อนกลับและหักทอนเปรียบเทียบความเสียหายของรถยนต์ Ferrari ได้ความเร็วที่ 76 กม./ชม. ส่วนรถจักรยานยนต์ 30 กม./ชม. ค่าความคลาดเคลื่อนในการเกิดอุบัติเหตุในการทดสอบที่มีประสบการณ์ที่สามารถยอมรับได้ เพิ่มขึ้นหรือลดลงเพียง 5%
อีกทั้ง ดร.เฮอร์แมน สเตฟานส์ ยืนยันว่า การทดลองและทดสอบครั้งนี้ได้ผลดีมาก เหตุเพราะความเสียหายและการเสียรูปทรงของรถยนต์ที่ทำการทดลอง จุดตำแหน่งและความเสียหายของรูปทรงของรถยนต์คันที่ทำการทดลองใกล้เคียงกับรถยนต์คันที่เกิดอุบัติเหตุจริงมาก ทำให้การทดลองย้อนรอยอุบัติเหตุในครั้งนี้มีความสมบูรณ์แบบที่สุดในโลกครั้งหนึ่ง เหตุเพราะการเลือกสภาพแวดล้อมใกล้เคียงกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งเรื่องของความเร็วด้วย เพราะถ้าหากมีการทดสอบซ้ำก็คงไม่มีการเปลี่ยนวิธีการรายละเอียดหรือผลที่ได้รับ ผลการทดสอบก็จะเป็นแบบเดิม 100%
เมื่อรายงานการย้อนรอบอุบัติเหตุของ ดร.เฮอร์แมน สเตฟานส์ ที่ได้ให้การและนำเสนอต่อศาล กับรายงานและการคำนวณความเร็วของ เมื่อปี 2559 มีความใกล้เคียงกัน ย่อมแสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิเคราะห์และพิสูจน์ได้ภายใต้หลักวิชาการด้านการย้อนรอยอุบัติเหตุ ไม่ว่าวันและเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม