
แฉ เสธ-เดอะบิ๊ก ล็อบบี้ช่วย 2 อดีตผู้บริหาร บ.รับโอนเงินเว็บพนัน
"ทอม เครือโสภณ" เปิดโปง บ. Payment Gateway รับโอนเงินเว็บพนัน กว่า 10,000 ล้านบาท มีเสธ-บิ๊กระดับประเทศ โทรล็อบบี้ช่วย 2 อดีตผู้บริหาร
12 พ.ค. 2568 นายจุลภาส เครือโสภณ หรือ ทอม เครือโสภณ นักธุรกิจชื่อดัง ในฐานะกรรมการบริษัท เซ็นดิท เทค จำกัด พร้อมด้วยนายวิฑูรย์ เก่งงาน หรือทนายอ๋อง ในฐานะทนาย ร่วมกันแถลงข่าวเปิดโปงธุรกรรมผิดกฎหมาย หลังตรวจพบความเสี่ยงปกปิดข้อมูลก่อนเข้าซื้อกิจการของบริษัท A (ชื่อนามสมมติ) ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ โดยพบว่าผู้บริหารชุดเก่าปล่อยให้เว็บพนันมาใช้บริการช่องทางการรับชำระเงินทางออนไลน์เป็นจำนวนมาก พบเงินหมุนเวียนกว่า 10,000 ล้านบาท
นายวิฑูรย์ เปิดเผยว่า บริษัท เซ็นดิท เทค จำกัด เป็นบริษัทจากทางอินโดนีเซียและอเมริกาเข้ามาลงทุนในไทย โดยมีการซื้อบริษัท A ที่ทำเกี่ยวกับ Payment Gateway เพื่อเอามาพัฒนาต่อ เนื่องจากหากเป็นบริษัทแม่จากต่างประเทศจะไม่มี license เป็นของตัวเอง การซื้อบริษัทจากไทยจึงง่ายกว่า ซึ่งบริษัทเรามีลักษณะเป็นบริษัทตัวกลางรับชำระเงิน ทำธุรกรรมในระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบ Payment Gateway
การลงทุนซื้อบริษัทดังกล่าว เกิดขึ้นในกลางปี 2565 โดยผู้บริหารของ บริษัท เซ็นดิท เทค จำกัด เข้ามาบริหาร เมื่อปลายปี 2566 แต่ตอนนั้นยังเป็นชื่อเดิม (บริษัท A) และมีการเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เซ็นดิท เทค จำกัด ในกุมภาพันธ์ปี 2567
แต่ระหว่างปลายปี 2566 ที่ผู้บริหารชุดใหม่เข้ามาบริหารมีการตรวจพบธุรกรรมที่น่าสงสัยของลูกค้า 20 อันดับแรก จากนั้นจึงทำการตรวจสอบเชิงลึกและตรวจสอบเป็นลิงค์ URL จึงพบว่า เป็นธุรกิจเว็บพนันออนไลน์และเว็บพนันไม่ใช่ธุรกิจที่ถูกกฎหมาย ซึ่งตรวจพบ URL กว่า 100 ร้านค้า พบเงินหมุนเวียนปีละ กว่า 10,000 ล้านบาท เป็นเว็บพนันจากในประเทศไทยทั้งหมด เช่น เว็บ 123 vega3.com เป็นต้น
ทำให้ทางบริษัท เซ็นดิท เทค จำกัด ทำการไล่ผู้บริหารชุดเก่า 2 คนออก จากนั้นผู้บริหารชุดเก่า จึงได้ไปฟ้องศาลแรงงานในข้อหา "ผิดสัญญาจ้างและเลิกจ้างไม่เป็นธรรม" จึงได้มีการต่อสู้คดีกัน โดยทางบริษัทส่งหลักฐานทางธุรกรรมที่ชี้ให้เห็นว่า มีการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย ซึ่งศาลพิพากษาว่า 2 ผู้บริหารเก่าทำผิดกฏหมายจริงและทำให้บริษัท เซ็นดิท เทค จำกัด เสียหาย แต่ศาลสั่งให้จ่ายโบนัสตามสัญญาจ้าง 300 ล้านบาท โดยให้เหตุผลว่า สัญญาจ้างไม่มีการระบุว่า จะไม่จ่ายเงินให้กับการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย แม้ในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะระบุไว้ว่าผิดก็ตาม ทางบริษัทจึงใช้สิทธิ์ยื่นอุทธรณ์
นายวิฑูรย์ กล่าวต่อว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทางบริษัท เซ็นดิท เทค จำกัด คือ บริษัทขาดความน่าเชื่อถือ และจะถูก สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินในวันอังคาร-ศุกร์ที่จะถึงนี้ เพราะไม่ใช่แค่เว็บพนันออนไลน์แต่มีการกู้ยืมเงินออนไลน์ด้วย แต่ทางบริษัทยินดีให้มาดำเนินการตรวจสอบ
สิ่งที่น่าตกใจ คือ กรมบังคับคดี มีการอายัดเงินของลูกค้าบริษัท ตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย. มูลค่า 8 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 200-300 ล้านบาท จึงมีข้อสงสัยว่า ปกติแล้วมีการอายัดกันไวขนาดนี้เลยหรือ เพราะทำเรื่องอายัดวันที่ 30 เม.ย. เวลา 12.44 น. หลังจากนั้นมีออกคำสั่งอายัดตอนเวลา 13.00 น. และยังออกหมายการอายัดเงินไปยังธนาคารภายในวันเดียวกัน และส่งหมายผ่านทางไปรษณีย์มาที่บริษัทวันที่ 1 พ.ค. จึงตั้งข้อสังเกตว่า ส่วนใหญ่ไม่เคยเจอสถานการณ์นี้มาก่อนที่กระบวนการการออกหมายและอายัดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในวันเดียว
ส่วนที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนัน หลังจากนี้ทางบริษัทจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดส่งมอบให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะไปยื่นให้กับตำรวจไซเบอร์และกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ บก.ปอท. ส่วนการฟอกเงิน จะไปยื่นหลักฐานให้กับ ปปง. และประสานงาน เพื่อที่จะนำข้อมูลส่งไปให้ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในการตรวจสอบ เนื่องจากการทำธุรกรรมที่เกิดขึ้นเป็นการทำธุรกรรมที่ใหญ่ในประเทศไทย พร้อมยืนยันว่า ทางบริษัทจะให้ความร่วมมือในการตรวจสอบทลายเครือข่ายเว็บพนันอย่างเต็มที่ พร้อมเน้นว่า เรื่องนี้ทำงานกันอย่างสนุกแน่นอน โดยหลังจากนี้จะไปยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับทางกรมบังคับคดีอีกด้วย
ด้าน นายทอม ระบุว่า สิ่งที่ยอมไม่ได้นั้น เนื่องจากมีการกลั่นแกล้งลูกค้าของตนเอง โดยการส่งหมายอายัดบัญชีมา ทั้งๆที่รู้ว่าเรากำลังอุทธรณ์ จึงเป็นเหมือนการกลั่นแกล้งนักลงทุนที่จะมาลงทุนในประเทศไทย และยังมองว่า ศาลเมืองไทยตัดสินให้คนผิดได้รับเงิน 300 ล้านบาทจากนักลงทุน แล้วใครจะกล้ามาลงทุนในไทย ในเมื่อรัฐบาลไทยต้องการให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน แต่ต่างชาติมาลงทุนแล้วถูกกลั่นแกล้ง ก็ต้องยอมจ่าย เพราะกลัวระบบยุติธรรมของประเทศไทย และยังบอกว่าคนทำผิดยังได้รับผลประโยชน์อยู่ดี เราอยากทำธุรกิจที่โปร่งใส แต่ระบบบังคับให้เราเป็นเทา
นายทอม เล่าต่อว่า ในระหว่างการสู้คดี มีผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ พูดไปแล้วทุกคนรู้จัก และมีเสธท่านหนึ่ง โทรศัพท์มาหาตนเอง ซึ่งรวมๆแล้วที่โทรมาหาตนเองมีมากกว่า 10 คน เป็นการโทรมาเจรจาขอให้ยุติเรื่องและจ่ายเงิน 300 ล้านบาท ให้กับ 2 ผู้บริหารชุดเก่าที่กระทำความผิด และกล่าวหาว่าตนเองทำไมถึงไปช่วยชาวต่างชาติ ตนเองจึงขอบอกเสธที่โทรมาว่า "ผมไม่เล่นเกมนี้" พร้อมบอกอีกว่า ทุกคนที่โทรมาหาตนเองเป็นคนที่มีบารมี สามารถที่จะควบคุมศาลในเมืองไทยได้ "เขาคงไม่ให้คนกระจอกโทรมาหาพี่ และยังมีการใช้บารมีมืดมาข่มขู่" ซึ่งตนไม่รู้ว่า ความสัมพันธ์ของ 2 ผู้บริหารชุดเก่ากับเสธคนนี้เป็นอะไรกัน แต่ในช่วงเวลานั้นใครที่น่าจะ เจรจากับตนเองได้ ก็คงจะให้คนระดับเดียวกันมาเจรจา
คุณมีผู้ใหญ่ผมก็มีผู้ใหญ่ คุณมีเสธผมมีนายพล ทุกคนที่โทรมาล็อบบี้ บอกผมว่าเดี๋ยวมีของขวัญให้คุณทอม โชคดีเมียพี่รวย ล็อบบี้คนผิดแล้ว
นายทอม กล่าวว่า แถลงข่าวในวันนี้หวังจะให้ประชาชนและศาลไม่อำนวยให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นในประเทศไทย ถ้าไม่ยุติ คนที่อำนวยสิ่งเลวร้ายให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ก็จะเลวร้ายไปตลอด ถ้าพวกคุณยังใช้อำนาจ และยังใช้เงิน พร้อมอำนวยให้สิ่งเลวร้าย ก็จะแก้ไขปัญหาไม่ได้ แล้วใครจะกล้ามาลงทุน ถ้าคนทำผิดยังมีคนป้องกันอยู่ โดยการออกมาเปิดข้อมูลแม้จะทำให้รายได้เราหายไปกว่าหมื่นล้าน แต่ก็ยินดีที่จะให้ธุรกิจนี้เกิดความขาวสะอาดและตัดสินใจแล้วว่า จะจ่ายเงินให้กับลูกค้าแทนที่ถูกอายัดบัญชี เองจำนวนกว่า 10,000 ราย “จะต้องควักเงินตัวเองเพื่อประเทศชาติ” เพราะบริษัทต้องการเป็นบริษัทที่โปร่งใส และมองว่า การทำแบบนี้ทำให้ประเทศชาติเสียผลประโยชน์ ดังนั้น ตนเองในฐานะผู้บริหารของบริษัท อยากจะเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ มีความเข้มงวดและปราบปรามบริษัท Payment Gateway ของรายอื่นที่รับโอนเงินจาก เว็บพนันอย่างจริงจัง เพราะเชื่อว่าเงินหมุนเวียนหลักหมื่นล้านที่เป็นเงินจากเว็บพนัน จะหมุนเวียนไปใช้บริษัท Payment Gateway ของบริษัทอื่นแน่นอน
ขณะที่นายยศกร เหล่าโชติธนกุล ทีมทนายความ ระบุถึงกรณีที่ 2 ผู้บริหารชุดเก่อ้างว่า ไม่ทราบมาก่อน มีลูกค้าเป็นเว็บพนันออนไลน์ ยืนยันว่า เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากเป็นผู้บริหาร ก็ต้องรู้ฐานลูกค้าอยู่เเล้ว และก่อนหน้านี้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ทำหนังสือเตือนถึงผู้บริหารชุดเก่าให้ปรับเปลี่ยนการบริหารและปรับเปลี่ยนการดำเนินการหลายอย่าง เพราะเป็นไปตามกฎระเบียบ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารชุดเก่ามีความหละหลวมในการบริหารงาน