
พยานระดับวิสดอม “ดิไอคอน กรุ๊ป” เปิดปากครั้งแรกยันขายได้จริง โต้ปมจัดฉาก
เปิดปากครั้งแรก! พยานระดับวิสดอม “ดิไอคอน กรุ๊ป” เปิดปากเล่ายันขายได้จริง พบแต่มุมดี ๆ ของบริษัท โต้ปมจัดฉากเป็นพยาน
4 พ.ย. 2567 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของบอสพอล พาพยานฝั่ง ดิไอคอน กรุ๊ป ชุดแรก จำนวน 20 คน มาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน
คุณมลญ่า 1 ในพยาน กล่าวว่า ตนเป็นดีลเลอร์ขายคอลลาเจน และสินค้ามาประมาณ 4 ปี จุดเริ่มต้นเกิดจากการได้ลองทานคอลลาเจนก่อน จากนั้นก็เปิดบิลแรก ไปประมาณ 50,000 บาท ก็ขายสินค้าในเครือ ดิไอคอน กรุ๊ป มาตลอด จนตอนนี้อยู่ในระดับตัวแทน wisdom มีโอกาสได้ไปเที่ยวหลายประเทศ เพราะเป็นโปรโมชั่นของทางบริษัท
อย่างล่าสุด วันที่ 23-28 ต.ค. 2567 ที่ผ่านมา ก็ไปลอนดอน และ ปารีส ยอมรับกรณีของตนมีผู้ที่มาทำธุรกิจร่วม มากกว่า 100 คน แล้ว ส่วนที่วันนี้ตัดสินใจมาเป็นพยาน และให้ข้อมูลกับตำรวจ ยืนยันว่า ในส่วนตัวตลอดเวลาพบแต่มุมดี ๆ ของ ดิไอคอน กรุ๊ป มีการสอนทำธุรกิจจริง โดยเฉพาะในแพลตฟอร์มออนไลน์ มีการสอนวิธีการขายต่าง ๆ ทำให้ตน จากคนที่ขายของออนไลน์ไม่เป็น ก็มีความรู้มากขึ้น โดยทางบริษัทเน้นให้เรารู้จักสินค้า ในแต่ละอย่างที่ขาย เพื่อจะได้ไปแนะนำลูกค้าได้อย่างถูกต้อง
ซึ่งเมื่อก่อนเราไม่มีความรู้อะไรเลย ไม่มีไลน์ ไม่มีเฟซบุ๊ก ก็กังวลว่า ทางบริษัทจะไม่สอน แต่ปรากฏว่าบริษัทสอนมอบความรู้ จนมีโอกาสนำความรู้ที่ได้มาไปสอนคนอื่น และไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง
"อยากจะขอบคุณ ครูบาอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้มาให้ ทำให้เราสามารถแบ่งปันความรู้เรื่องออนไลน์ ให้กับคนอื่นอีกหลายคน แต่หากใครอยากจะเรียนรู้ เรื่องธุรกิจออนไลน์ ก็สามารถติดต่อตนมาได้ ตนยินดีสอนฟรี ทั้งเรื่องการขายสินค้า ขายสร้างตัวตน ยิงแอดโฆษณาต่าง ๆ "
เมื่อถามถึงรายได้ จากการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของ ดิไอคอน กรุ๊ป ไม่สามารถตอบได้ ขึ้นอยู่กับความขยันในแต่ละเดือน และเศรษฐกิจในช่วงนั้น ส่วนใหญ่ลักษณะการขายสินค้าของตน ก็จะเป็นการไปเจอกับลูกค้า และแนะนำสินค้าต่าง ๆ ให้ ตนก็จะจัดสินค้าให้ลูกค้าแต่ละราย เป็นลัง เพราะส่วนใหญ่จะสั่งซื้อประจำเดือน เนื่องจากจะมีส่วนลดมากกว่า
ส่วนตัวตนก็จะถนัดขายออฟไลน์มากกว่า เนื่องจากได้เจอลูกค้า และเน้นแนะนำปากต่อปาก และ ในส่วนของบอสดาราทั้ง 3 คน ได้มีการแนะนำหรือไม่นั้น ส่วนใหญ่ เป็นเรื่องการทำคอนเทนต์ โดยจะให้เลือกเองว่า ถนัดแบบไหนก็จะให้เราเลือกทำแบบนั้น
เมื่อถามว่า หลังจากที่เป็นข่าว ยังสามารถขายสินค้าได้หรือไม่? คุณมลญ่า ยอมรับ มีลูกค้าหลายท่านรู้สึกไม่สบายใจ เนื่องจากว่าลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาซื้อสินค้าจากตน เป็นคนที่มีอายุแล้ว และเมื่อมีข่าวออกมา ลูกหลานก็จะเตือน เนื่องจากไม่มั่นใจในสินค้าของบริษัท แต่ยืนยันว่า สินค้าทั้งหมดมี อย. ถูกต้อง อยากให้ลูกค้าทานต่อ และตนเองยังมีสินค้าอยู่
สำหรับการออกมาเป็นพยานในวันนี้ ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณบริษัทหรือไม่นั้น? มองว่าสิ่งใดที่มีพระคุณ ก็ต้องตอบแทนในชาตินี้ อย่างเช่น ดิไอคอน กรุ๊ป ได้ให้ความรู้ ให้อาชีพ วันนี้เขาได้รับความเดือดร้อน ตนขอตอบแทนพระคุณ เพราะไม่รู้ว่าชาติหน้าจะได้เกิดเป็นคนอีกไหม?
ตนถือว่าเป็นหนึ่งเมล็ดใน ดิไอคอน กรุ๊ป สร้างให้เป็นคนที่มีความรู้ขึ้นมา สิ่งที่เสียใจที่สุดคือ คนที่มาร่วมทำธุรกิจกับเรา ก็ยังมีสินค้าอยู่จึงขอฝากบอกผ่านตรงนี้ว่า อยากจะแสดงความจริงใจให้กับทีมของตัวเองว่า ไม่มีเจตนาที่จะทำให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น เชื่อว่าเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ไม่อยากให้กล่าวโทษใคร”
โดยหลังจากที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ก็ทำให้มีผู้เสียหายจำนวนมาก เราก็ขอแสดงความเสียใจด้วย เชื่อว่า ไม่มีใครอยากให้เกิด เหรียญมีสองด้าน ความรู้ที่พี่ได้พึงแบ่งปัน เพราะหากมีเงินมากเพียงใด ให้เงินไปหากขาดปัญญาแล้วนั้น เงินนั้นก็จะหมด เพราะเขาไม่รู้ ไม่มีปัญญา ที่จะนำเงินส่วนนี้ไปหาผลประกอบการ แต่หากมีปัญญา ก็สามารถนำเงินเพียงน้อยนิด ไปสร้างอาชีพได้ หรือสร้างผลประกอบการทางธุรกิจ ได้มากตามที่ต้องการ นี่คือสิ่งที่ถูกสอนมา ให้ใช้ปัญหานำทุน “
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การมาเป็นพยานในวันนี้ หลายคนอาจจะมองว่า เป็นการจัดฉากหรือไม่นั้น? คุณมลย่า ยืนยัน จัดฉากคงไม่สะดวก เพราะตนก็รักครอบครัว และการที่เรานัดกับใครหลายคน เพื่อให้มาพูดในสิ่งเดียวกัน มันเป็นเรื่องที่ยากและมองว่าไม่คุ้มกับความเสี่ยงในอนาคต ไม่มีการจัดฉากแน่นอน หากว่าเป็นการจัดฉากจริง คนที่มายืนอยู่ตรงนี้ ก็จะต้องมีการซักซ้อม การคำถามให้เหมือนกัน ซึ่งมันจะทำได้กี่วัน ความจริง ก็คือ ความจริง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในขณะที่สัมภาษณ์ คุณมลญ่า ได้เรียกอีกฝ่ายว่า "ท่าน" ตลอด ซึ่งผู้สื่อข่าวถามว่า คุณท่านที่พูดถึง หมายถึงใคร คุณมลญ่า ตอบว่า หมายถึงทุกคนในบริษัท ไม่ได้พาดพิงใครเป็นพิเศษ
ด้านทนายวิฑูรย์ เปิดเผยว่า วันนี้ได้พาพยานกว่า 20 คน ในฝั่งของบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป มาให้การในชั้นพนักงานสอบสวนของดีเอสไอ โดยมาให้การตามข้อเท็จจริง ซึ่งมีพยานที่ยืนยันตนแล้วประมาณพันกว่าคน แต่มีในรายชื่ออยู่ที่ 2,400 คน และมีการติดต่อประสานงานเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยตนเองมั่นใจในข้อเท็จริง และเชื่อว่าพยานจะให้การตามความเป็นจริง จึงไม่ได้หนักใจอะไร
หลังจากนี้ทนายวิฑูรย์ จะไปปรึกษากับดีเอสไอว่า สามารถขยายกำลังการสอบสวนได้มากเพียงใด รวมถึงจะสามารถส่งพนักงานสอบสวน ไปสอบปากคำพยานในพื้นที่ต่างจังหวัด และต่างประเทศได้หรือไม่? หากทำได้ ตนก็มีแผนเดินสายพบปะพยานทั้งประเทศ เพื่อให้เข้าปากคำกับดีเอสไอในฐานะพยาน
เบื้องต้น จากการประเมินมีตัวแทนกว่า 10,000 - 15,000 คน แต่จะสามารถดึงพยานเข้าให้ปากคำได้มากเท่าไหร่ ตนเองยังไม่ทราบ
ส่วนกังวลหรือไม่ ดีเอสไอจะไม่รับฟังทุกปากนั้น ทนายวิฑูรย์ มองว่า ดีเอสไอท่านจะต้องรับฟัง เพราะงานจะหนักในช่วงสอบสวน เพื่อที่ในชั้นอัยการ และชั้นศาล จะได้ง่ายลง หากมีพยานประมาณหมื่นคน แถลงข้อเท็จจริงก็จะจบ ถ้าตัดเลยเอาแค่ 50 คน ตนก็ร้องเรียนขอความเป็นธรรม คดีก็ไม่ไปไหน อัยการก็ตีสำนวนกลับ
จึงอยากให้เหนื่อยตอนนี้จบ ดีกว่าไปชั้นศาลแล้วตนเอาพยานหมื่นคน ขึ้นมาทั้งพยานประเด็นที่ไปสืบพยานต่างจังหวัด และพยานคอนเฟอเรนซ์ ก็จะมั่วซั่วอีรุงตุงหนังไปหมด เพราะหมื่นกว่าคนไม่เคยมาให้ถ้อยคำ ก็ต้องสอบพยานทุกปาก ก็จะวุ่นวายและสร้างภาระให้อัยการและศาลโดยใช้เหตุจึงต้องเอาให้จบที่ชั้นนี้
ส่วนจะถึงขั้นฟ้อง 157 เลยหรือไม่นั้น? มองว่า หากตัดพยานก็คงต้องร้องขอความเป็นธรรม ก่อนฟ้อง 157 แต่ก็เชื่อว่า ดีเอสไอก็ใจกว้างมากพอที่จะสอบปากคำทั้งหมด ส่วนความกังวลว่าจะจำกัดอิสระภาพของกลุ่มผู้ต้องหานานขึ้นหรือไม่? นายวิฑูรย์ ระบุว่า ฝั่งตนเองเสียหาย และยังต้องขังอยู่ แต่การสู้คดี เราเสียหายตอนนี้ จะสบายในระยะยาว ดีกว่าสบายในวันนี้ และในชั้นศาลมีปัญหา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่ทนายวิฑูรย์ ได้พาพยานเข้าพูดคุยกับดีเอสไอประมาณ 1ชั่วโมง ก็ปรากฎว่า วันนี้ยังไม่ได้ให้ปากคำ เพราะทางดีเอสไอยังไม่พร้อมและกำหนด แต่จะส่งหนังสือไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้สอบปากคำพยานฝั่ง ดิไอคอน กรุ๊ป ด้วย ซึ่งก็จะนัดหมายไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจอีกครั้ง
ขณะเดียวกันนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ก็ได้มายื่นหนังสือให้ดีเอสไอ ดำเนินการตรวจสอบ พร้อมกับแจ้งข้อหากับ นายวรัตน์พล วรัทน์วรกุล หรือ บอสพอล ถึงแม้ว่าตนจะเคยไปยื่นเรื่องให้สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ดำเนินการตรวจสอบแล้ว แต่คนอยากให้มีการแจ้งข้อหาให้เร็วกว่านี้
ส่วนกรณีที่ทนายวิฑูรย์ นำพยานฝั่งดิไอคอนกรุ๊ป จำนวน 20 คน มาให้ปากคำนั้น ตนมองว่าเป็นคนละส่วนกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่ ซึ่งตนก็ได้มีการพูดคุยกับทนายวิฑูรย์ก่อนมาแล้ว
ส่วนเรื่องที่ตนเข้าไปห้องสอบสวนภายในเรือนจำนั้น ขอยืนยันว่าตนเข้าไปอย่างถูกต้องตามกฎระเบียบของกรมราชทัณฑ์ โดยเข้าไปในฐานะบุคคลที่ไว้วางใจของ "โค้ชแล็ป" ซึ่งตนได้รับการร้องขอจากภรรยา และพี่ชายคนโค้ชแล็ป
ส่วนกรณีที่ทนายวิฑูรย์ ออกมาตอบโต้ว่า มีคนอ้างตัวเป็นตำรวจสอบสวนกลาง ไปเรียกรับเงิน 9 ล้านบาทจากโค้ชแล็ปนั้น ไม่เป็นความจริง นายอัจฉริยะ กล่าวเพียงว่า ให้ไปสอบถามเรื่องนี้กับทนายวิฑูรย์เอาเอง ว่าวันนั้น เวลา 10.30 น. ได้รับสายจากใครหรือไม่? ประเด็นนี้อยากให้ตำรวจสอบสวนนกลางตรวจสอบอย่างละเอียด เพราะบุคคลที่โทรมาข่มขู่เรียกรับเงินนั้น อาจจะเป็นตำรวจปลอม หรืออาจจะเป็นนิ้วให้ตำรวจก็ได้?



