ชายนิรนามอ้างเป็นตำรวจ ช่วยเคลียร์คดี ตุ๋นเมียเสือปุ่น สูญ100,000
ตำรวจให้เบอร์ชายนิรนาม อ้างจ่าย200,000 เคลียร์คดี เมีย"เสือปุ่น" หลงเชื่อหาเงินให้ วันฝากขังช็อก! จ่ายเงินแล้วแต่ยังถูกส่งเรือนจำ
9ก.ย.2567 ผู้สื่อข่าวได้รับเรื่องร้องเรียนจาก น.ส.สุภาพรรณ อายุ 35 ปี ชาว จ.ราชบุรี ภรรยานายวรวัฒน์ หรือเสือปุ่นปชน. ผู้ต้องหาคดีร่วมกันปล้นทรัพย์และพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่หลังถูกจับกุมตัวดำเนินคดีในพื้นที่ สภ.บ้านนา จังหวัดนครนายก
กรณีถูกมิจฉาชีพใช้อุบายหลอกลวงว่า จะช่วยเรื่องการประกันตัว นายวรวัฒน์ หรือ (เสือปุ่น) จนภรรยาของเสือปุ่น เกิดความหลงเชื่อ จึงได้โอนเงินจำนวน 100,000 บาท ให้กับมิจฉาชีพที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจไป สุดท้ายไม่สามารถติดต่อกับมิจฉาชีพที่อ้างตัวเป็นตำรวจได้ จึงรู้ตัวว่าถูกหลอก
โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นภายในสถานีตำรวจภูธรบ้านนา จ.นครนายก เมื่อวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 13.30 น.หลังเกิดเหตุได้เข้าเเจ้งความทันที แต่ตำรวจให้คำปลอบใจว่าให้รอก่อนอีก 1 เดือน จึงหวั่นว่าเสียเงินก้อนนี้ไปฟรี ๆ
ต่อมาผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบ น.ส.สุภาพรรณ ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต.พิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี โดย น.ส.สุภาพรรณ เปิดเผยว่า ในวันนี้ที่ต้องร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากสื่อ เพราะถูกหลอกโกงเงินไปจำนวน 100,000 บาท เมื่อวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา
โดยวันนั้นแม่สามีได้ไปเยี่ยมสามี ที่ สภ.บ้านนา โดย ระหว่างรอเข้าเยี่ยมได้นั่งอยู่กับตำรวจ 1 นาย จากนั้นเสือปุ่นได้กระซิบบอกแม่ว่าเขาเรียกเงิน 2 แสน ซึ่งตนกลัวว่าแม่จะโดนหลอก จึงรีบตามไปที่โรงพัก พอไปถึงตำรวจยื่นเบอร์โทรศัพท์มาให้ แล้วบอกว่ารองผู้การจะคุยด้วย ตนจึงโทรไป
โดยปลายสายบอกว่าสามารถช่วยให้ประกันตัวที่โรงพักได้เลย แต่ขอเงินจำนวน 200,000 บาท แล้วจะจัดการให้ทุกอย่าง ตนจึงถามว่าแล้วจะมั่นใจได้ยังไงว่าพี่ปุ่นจะได้ออกมา ปลายสายตอบว่าเดี๋ยวฉีกสำนวนทิ้งทั้งหมดเลย แล้วทำสำนวนให้ใหม่ ซึ่งคนในโทรศัพท์ไม่ได้บอกชื่อ จึงไม่รู้ว่าเป็นใคร
จากนั้นเขาก็โทรศัพท์มาเร่งให้รีบหาเงินไปให้ ตนบอกหาว่าหาไม่ได้ มีแค่แสนเดียว เขาก็บอกให้โอนมาแสนนึงก่อน ส่วนที่เหลือค่อยว่ากัน เพราะจะต้องรีบนำตัวสามีส่งศาลแล้ว
น.ส.สุภาพรรณ เปิดเผยว่า ในใจตอนนั้นคิดว่าเขาน่าจะเป็นตำรวจจริง เพราะเขารู้ว่าจะต้องนำตัวสามีส่งศาลแล้ว ตนก็กลัวว่าสามีจะไม่ได้ออกมา จึงรีบหาเงินโดยการไปกู้หนี้ยืมสินเขามา ซึ่งตนประกอบอาชีพขายของวันต่อวัน ไม่ได้มีเงินเป็นก้อนขนาดนั้น เมื่อหายืมเงินไม่มาได้ เขาก็โทรมาเร่งให้รีบโอนเงินไปให้ โดยอ้างว่าไม่ทันแล้วจะต้องรีบเอาตัวส่งศาลฝากขัง ตนเลยบอกว่าไม่เป็นไร หาเต็มที่แล้ว จากนั้นเขาก็วางสายไป สักพักเขาก็โทรกลับมาใหม่และบอกว่าให้เวลาอีก 5 นาที โอนเงินเลยได้เปล่า ตอนนั้นตนและญาติๆรวบรวมเงินได้แล้ว จึงบอกว่าพร้อมโอนได้เลย พอโอนเสร็จเขาก็ปิดเครื่องหนีทันที
จากนั้นสักพักสามีก็เดินออกมาจากห้องควบคุมตัว ถามว่าโอนเงินหรือยัง ตนบอกว่าโอนแล้ว สามีจึงถามว่าถ้าโอนแล้วทำไมต้องถูกนำตัวส่งศาล ตนบอกไม่รู้โทรไปก็ไม่ติดแล้วถึงรู้ว่าถูกหลอก
จึงรีบโทรไปอายัดบัญชีแล้วก็แจ้งความทันที ซึ่งตนได้ถามตำรวจคนที่ให้เบอร์โทรศัพท์มาว่า เบอร์ที่ให้มาเขาเป็นใคร ตอนนี้ติดต่อไม่ได้แล้ว ตำรวจบอกว่าเขาก็ไม่รู้ เขารับสายต่อมาอีกทีนึง ตนก็ถามว่าแล้วรับต่อมาจากใครเขาบอกไม่รู้ ตนจึงบอกว่าแล้วที่ให้โอนเงินไปให้ 100,000 บาท เขาเป็นใคร แต่ตำรวจพูดแค่ว่า ไม่น่าโอนเงินไปให้เขา
ซึ่งตำรวจยืนยันว่าไม่รู้จักคนที่ใช้เบอร์นั้น แต่ทำไมเอาเบอร์มาให้ตน แล้วอ้างว่ารับโทรศัพท์จากห้องข้างบน ตนจึงเดินขึ้นไปห้องข้างบนซึ่งเป็นห้องคล้ายห้องสืบสวน พบคนในห้องซึ่งเป็นตำรวจที่นั่งอยู่กับสามีคนแรก
น.ส.สุภาพรรณ กล่าวอีกว่า ตนจึงถามว่าใครคุยกับแม่พี่ปุ่น เขาบอกไม่รู้ ห้องข้างบนก็โบ้ยมาห้องข้างล่าง ห้องข้างล่างก็โบ้ยขึ้นไปห้องข้างบน ซึ่งข้างล่างก็ยืนยันว่าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น ตนจึงบอกว่าถ้าไม่รู้แล้วเอาเบอร์มาให้ตนได้อย่างไร เมื่อเอาเรื่องใครไม่ได้ตนจึงแจ้งความ
โดยขณะที่กำลังแจ้งความ ตำรวจก็บอกว่าทำไมไม่บอกตำรวจตอนที่มีคนขอเงินมา ตนจึงบอกว่าจะแจ้งตำรวจได้ยังไงก็ในเมื่อตำรวจเป็นคนเอาเบอร์มาให้เอง แถมยังบอกไม่รู้อะไรเลย หลังจากนั้นตนจึงขอภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงพัก รออยู่นานมากเขาก็ไม่เอาภาพกล้องวงจรปิดมาให้
รอจนถึงเวลา 19.00 น. จึงกลับบ้านและได้ขอไลน์ตำรวจเอาไว้เพื่อให้เขาส่งภาพกล้องวงจรปิดมาให้ ซึ่งเขาก็ส่งภาพมาให้ แต่ไม่มีภาพตอนที่ตำรวจเดินเอาเบอร์โทรศัพท์มาให้ตน
ซึ่งตนมีพยานยืนยัน เพราะมีคนนั่งอยู่ตรงนั้นเป็นสิบคน
เหตุการณ์ครั้งนี้ตนเองโดนมิจฉาชีพหลอกถึงในโรงพัก มันเกินไปหรือไม่ อีกทั้งตำรวจก็เป็นคนเอาเบอร์โทรศัพท์มาให้ จึงทำให้มั่นใจว่าปลายสายที่คุยไม่ใช่มิจฉาชีพอย่างเเน่นอน ถ้าเป็นคนอื่นเอาเบอร์โทรศัพท์มาให้ก็คงไม่กล้าโอนเงิน แต่นี่เห็นว่าเป็นตำรวจเอาเบอร์โทรศัพท์มาให้ และยังยืนยันว่าไว้ใจได้
ตอนนี้ครอบครัวรู้สึกแย่มาก แค่เรื่องสามีก็เหนื่อยแล้ว กลับต้องมาเป็นหนี้เป็นสินจากการถูกมิจฉาชีพหลอกอีก เงินหนึ่งแสนที่เสียไปหวังว่าสามีจะได้ประกันตัวออกมา เพราะเขาเป็นเสาหลักของครอบครัว แต่กลับทำให้แย่หนักเข้าไปอีก อยากฝากถึงคนที่เอาเงินไป ถ้ามีสามัญสำนึกก็เอาเงินมาคืนเถอะ ตนมีค่าใช้จ่าย มีภาระเหมือนกัน ทำแบบนี้มันซ้ำเติมกันเกินไป และอยากฝากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยติดตามเรื่องนี้ด้วย กลัวว่าเรื่องจะเงียบ เพราะตำรวจบอกให้รอประมาณ 1 เดือน ซึ่งตนคิดว่ามันใช้เวลานานมากเกินไป