4 ส.ค. 2567 กรณีชายชาวญี่ปุ่น อายุ 36 ปี เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ว่า ถูกนายอุทัย (สงวนนามสกุล) หรือ "เอมี่" หลอกลงทุน โดยผู้เสียหายรู้จักกับนายเอมี่ ครั้งแรก เมื่อ 12 ม.ค. นายเอมี่ หลอกว่ามาจากฮ่องกง มาขอเงินผู้เสียหายเพื่อเข้าพักโรงแรม จากนั้นได้ทำความรู้จักกัน นายเอมี่ นัดเจอผู้เสียหายหลายครั้ง หลอกผู้เสียหายไปรูดบัตรเครดิตซื้อทอง แล้วนำไปเปลี่ยนเป็นเงินสดจนสูญเงินกว่า 15 ล้านบาทนั้น
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อช่วงค่ำวันที่ 3 ส.ค. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. สั่งการให้ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พร้อมชุดสืบสวนติดตามเร่งรัดจับกุม กระทั่งสามารถติดตามจับกุมตัว นายอุทัย หรือ เอมี่ (สาวประเภทสอง) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาล เลขที่ 1158/67 ข้อหา “ฉ้อโกง ได้แล้ว
สำหรับพฤติการณ์ของนายอุทัย เป็นบุคคลที่ชอบหลอกลวง โดยจะเลือกเหยื่อส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่นหรือนักท่องเที่ยว ชักชวนพูดคุยกับผู้เสียหายว่าตนเองนั้น เดินทางมาจากประเทศฮ่องกง ออกอุบายว่าได้รับความเดือดร้อนต้องการขอความช่วยเหลือ ใช้มุขทำกระเป๋าเงินหล่นหาย พร้อมกับเอกสารหนังสือเดินทางหายไป โดยขณะที่นั่งรถมาจากพัทยาจนกระทั่งมาถึงกรุงเทพฯ พบเจอกับผู้เสียหายเลยทำทีขอยืมเงินจากผู้เสียหาย เพื่อให้จ่ายเงินในการออกค่าทำหนังสือเดินทางไปให้ก่อน และจะนำเงินมาคืนให้ภายหลัง ก่อนที่จะแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์หรือช่องทางการติดต่อของผู้เสียหายไว้
ต่อมา นายอุทัย ยังคงมีการติดต่อผู้เสียหายอยู่บ่อยครั้ง พร้อมทั้งขอยืมเงินผู้เสียหายมาโดยตลอด ซึ่งมักจะอ้างเหตุผลต่างๆ นานา อาทิ ต้องการนำเงินไปปิดประกันภัยโดยเร่งด่วน ต้องการนำเงินไปเป็นค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากติดเชื้อโควิด- 19 ต้องนำเงินไปจ่ายค่าประกันภัยล่วงหน้า โดยใช้บทตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จเรียกความสงสารเห็นใจ
นอกจากนี้ยังหลอกผู้เสียหายว่า ทำงานโปรเจคให้กับบริษัทยาชื่อดัง โปรเจคมีปัญหาต้องใช้เงิน ต้องการให้ผู้เสียหายช่วยเรื่องเงิน โดยจะโอนคืนผู้เสียหายภายหลัง สุดท้ายอ้างว่าบัญชีถูกล็อก โปรเจคล่ม ผู้เสียหายทวงถามเงินคืนหลายครั้ง แต่ไม่ได้คืน ทำให้ผู้เสียหายตรวจสอบสื่อโซเชียลมีเดีย พบว่า นายเอมี่ มีประวัติถูกชาวต่างประเทศแฉ หลังก่อเหตุหลอกผู้เสียหายคนอื่น มากกว่า 10 ครั้ง จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความกับตำรวจ
จากการตรวจสอบประวัติและพฤติการณ์นายเอมี่ ตั้งแต่ปี 2011-2024 พบว่ามีชาวญี่ปุ่นถูกหลอก ทั้งหมด 73 คน มูลค่าความเสียหาย เกือบ 26 ล้านบาท รายละเอียด ดังนี้
- ปี 2011 ผู้เสียหาย 25 ราย มูลค่าความเสียหาย 942,000 บาท
- ปี 2012 ผู้เสียหาย 9 ราย มูลค่าความเสียหาย 2,166,000 บาท
- ปี 2014 ผู้เสียหาย 16 ราย มูลค่าความเสียหาย 1,588,000 บาท
- ปี 2015 ผู้เสียหาย 2 ราย มูลค่าความเสียหาย 330,000 บาท
- ปี 2018 ผู้เสียหาย 8 ราย มูลค่าความเสียหาย 307,000 บาท
- ปี 2020 ผู้เสียหาย 6 ราย มูลค่าความเสียหาย 293,000 บาท
- ปี 022 ผู้เสียหาย 3 ราย มูลค่าความเสียหาย 90,000 บาท
- ปี 2023 ผู้เสียหาย 1 ราย มูลค่าความเสียหาย 16,000,000 บาท
- ปี 2024 ผู้เสียหาย 3 ราย มูลค่าความเสียหาย 4,072,000
ข่าวที่เกี่ยวข้อง