
รวบบัญชีม้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างเป็นตำรวจเชียงใหม่
สืบนครบาล รวบ "สันหนองเสือ" บัญชีม้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างเป็นตำรวจเชียงใหม่ หลอกพัสดุผิดกฎหมายให้โอนเงินตรวจสอบ
สามารถจับกุมตัว นายรังสรรค์ (สงวนนามสกุล) อายุ 50 ผู้ต้องหา 4 หมายจับ
(1).ตามหมายจับศาลอาญาธนบุรี ที่ 588/ 2565 ลงวันที่ 21 ก.ย. 65
ข้อหา"ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลคนอื่นและโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น"
(2).ตามหมายจับศาลจังหวัดราชบุรี ที่ จ.113/2566 ลงวันที่ 7 มี.ค. 66
ข้อหา“ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงนเป็นบุคคลอื่นและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน”
(3).ตามหมายจับศาลจังหวัดบึงกาฬ ที่ 56/2566 ลงวันที่ 20 ก.พ. 66
ข้อหา“สนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง”
(4).ตามหมายจับศาลแขวงสระบุรี ที่ จ.55/2566 ลงวันที่ 28 มี.ค. 66
ข้อหา“ร่วมกันฉ้อโกง,โดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง”
ผู้เสียหายจึงหลงเชื่อเนื่องจากวิตกกังวลว่าตนจะถูกดำเนินคดีอาญาฟอกเงิน อีกทั้งเชื่ออย่างสนิทใจเพราะ(มิจฉาชีพ) มีการแสดงบัตรและเอกสารหน้าหมายศาลฯ ผู้เสียหายทำการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารของตน เข้าบัญชี ผู้ต้องหา เป็นจำนวน 20ครั้ง ในวันเวลาดังกล่าว มูลค่าความเสียหายทั้งสิ้น 7,357,000 บาท จากนั้นภายหลังที่ผู้เสียหายโอนเงินครบเสร็จสิ้น มิจฉาชีพมีการ บล๊อคการสนทนาทางแอพพลิเคชั่นไลน์ ทำให้ผู้เสียหายคิดว่าตนถูกมิจฉาชีพหลอกลวง
เบื้องต้นในชั้นการจับกุม ผู้ต้องหารับว่าตนเป็นบุคคลตามหน้าหมายจับจริง ปัจจุบัน อายุ50ปี ให้การรับสารภาพว่า เปิดบัญชีให้กลุ่มนายทุนที่รู้จักกัน เล่าว่าช่วงสถานการณ์โควิดในปี2563 ตนตกงานไม่มีงานทำ ทำให้ขัดสนในค่าเช่าบ้านเมื่อมีกลุ่มนายทุนในชุมชนมาเสนอเงื่อนไขว่า “หากตนขายบัญชีธนาคารพร้อมซิมโทรศัพท์มือถือ 5ซิม” นายทุนดังกล่าวจะชำระค่าเช่าบ้านให้ ด้วยเงินเพียง 3,000 บาท (โดยตนไม่ได้เปิดATM) มีเพียงบัญชีธนาคาร พร้อมซิมโทรศัพท์5หมายเลข
.
ผู้ต้องหายังให้การว่า ผู้ชักชวนดังกล่าวพาตนไปที่ ร้านสะดวกซื้อ ใกล้ๆบ้าน จากนั้นใช้บัตรประชาชนของตน จดทะเบียนซิมพร้อมตนยอมรับว่า ตนเป็นผู้สแกนใบหน้าด้วยการยืนยันบัตรประชาชน ด้วยตนเองจริง
จากนั้นตนก็ไม่ได้ติดต่อกับทางผู้ชักชวนอีกเลย จนช่วงปลายปี2566 ตนได้ทราบข่าวว่านายทุนดังกล่าวที่ตระเวนหาคนเปิดบัญชี ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมแล้ว ปัจจุบันลูกชายอายุ 30 ปี ก็ตกเป็นผู้ต้องขัง ในเรือนจำ ด้วยความผิดฐานเดียวกัน เนื่องจากขายบัญชีพร้อมๆกัน ให้กลุ่มนายทุนที่นำไปกระทำความผิดเดียวกัน ผู้ต้องหายังบอกอีกว่า ตนทราบว่ามีหมายเรียกมายังบ้านที่ตนพักอาศัยตามที่อยู่ทะเบียนบ้านแต่ตนก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นคดีความที่นำมาสู่ความผิดได้จริง จึงไม่ได้ไปตามหมายเรียก พอตนว่างงานก็ตระเวนหาสมัครงาน จนในวันนี้เดินทางจากหนองเสือ จว.ปทุมธานี เข้ามาสุขุมวิทเพื่อหางานทำ
.
พล.ต.ต.ธีรเดช ฝากเตือนประชาชน ปัจจุบันกลุ่มมิจฉาชีพอ้างเป็นไปรษณีย์โทรศัพท์หลอกลวง ว่า มีพัสดุตกค้าง และเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงิน หลอกขอข้อมูลส่วนตัว และให้เหยื่อโอนเงินไปให้ตรวจสอบ มีประชาชนยังหลงเชื่ออยู่เป็นจำนวนมาก แนะนำว่า ควรติดต่อหน่วยงานราชการด้วยตนเองอีกครั้งหรือปรึกษากับคนในครอบครัว ไม่ควรเชื่อข้อมูลจากบุคคลในโทรศัพท์ เพื่อไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อแก๊งมิจฉาชีพ จึงขอฝากเตือนภัยประชาชนให้ทราบโดยมีวิธีการรับมือเบื้องต้นดังนี้
1. ไม่หลงเชื่อข้อมูลทางโทรศัพท์ทางเดียว ให้ติดต่อกลับ หน่วยงานราชการที่ได้รับอ้างถึงเพื่อตรวจสอบ
2. ข้อมูลทางการเงินเป็นความลับ ต้องไม่ให้ข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลส่วนตัว และข้อมูลการทำธุรกรรม Online, รหัส OTP ที่ได้รับผ่าน SMS เด็ดขาด
3. ห้ามโอนเงินตามคำบอกเด็ดขาด