4 ลูกน้องบิ๊กโจ๊ก ชุดทำคดี 'เป้รักผู้การ' ให้การอัยการฯ ก่อนสรุปสำนวน พ.ค.
คณะพนักงานสอบสวนคดี 'เป้รักผู้การ' เรียก 4 'ลูกน้องบิ๊กโจ๊ก' ชุดทำคดีชุดเดิม เข้าให้การกับ ชุดทำคดีของอัยการ ก่อนสรุปสำนวน พ.ค.นี้ ด้านรองอธิบดีอัยการ แจงเป็นการรับฟังข้อมูลทุกฝ่าย ไม่เกี่ยวกับกรณีศาลออกหมายจับ ‘บิ๊กโจ๊ก’
3 เม.ย. 2567 ความคืบหน้าคดีที่มีเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกเงิน 140 ล้านจากเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ หรือ คดีเป้รักผู้การ คณะพนักงานสอบสวนคดี "เป้รักผู้การ 140 ล้านบาท" นำโดยนายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน หัวหน้าชุดคณะทำงานตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวน เชิญทีมสืบสวนสอบสวนคณะทำงานเดิมเข้าให้ข้อมูลในคดีเพิ่มเติม โดยได้ส่งหนังสือเชิญไป 6 ราย หลังจากสอบปากคำพยานไปแล้ว 200 กว่าปาก
ซึ่งวันนี้ชุดทำคดีเดิมเดินทางมาให้ข้อมูลเพียง 4 ราย ประกอบด้วย 1. พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ , 2.พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย ,3. พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย และ 4. พ.ต.อ.ปรเมษฐ์ ส่วนอีก 2 นาย นัดวันอังคาร ที่ 9 เม.ย. 67 ก่อนจะเรียกประชุมใหญ่อีกครั้งช่วงหลังสงกรานต์
นายวัชรินทร์ เปิดเผยว่า คณะทำงานเน้นรับฟังข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานจากทุกฝ่าย รวมถึงเปิดโอกาสผู้ต้องหามาให้การด้วย ซึ่งได้ทำการสอบสวนทั้งฝ่ายผู้ต้องหาและฝ่ายผู้เสียหายทั้งหมดแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการสรุปสำนวนส่ง เพราะอยากได้ฟังทุกฝ่าย วันนี้จึงได้เชิญชุดพนักงานสืบสวนสอบสวนเดิมมา ย้ำเป็นการเชิญมาไม่ได้เป็นผู้ต้องหา
ส่วนเหตุผลที่เชิญตำรวจ 4 นายมาในวันนี้ เพราะบางนายเคยให้การไปแล้ว บางนายยังไม่เคยให้การ ยืนยันว่า ทำตามพยานหลักฐาน ไม่มีการช่วยเหลือใครและไม่มีการเข้าข้างใคร จึงต้องการความจริงบางอย่างในสำนวน ที่อยากให้มาให้การ เพื่อเป็นประโยชน์ทางคดี หากคำให้การเกี่ยวข้องใครก็จะดำเนินคดีไปตามนั้น ดังนั้นการทำคดีสำนวนจะต้องฟังความจากทุกฝ่ายจะไม่มีทางที่จะเลี่ยงฟังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
รวมถึงตำรวจทั้ง 4 นาย ถือเป็นชุดสืบสวนสอบสวนที่ทำหน้าที่ตั้งแต่แรก บางนายสืบสวนพยานหลักฐานต่างๆ รวมทั้งเส้นทางการเงิน บางนายเป็นพนักงานสอบสวนอยู่แล้ว หรือ หากต้องการจะให้การอะไรเพิ่มเติมที่ไม่มีในสำนวนก็ยินดีรับ ซึ่งพยานรอบนี้เป็นพยานชุดสุดท้ายของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ จะมาเติมเต็มข้อมูลในส่วนที่ขาดหายไป
นายวัชรินทร์ กล่าวอีกว่า กรอบระยะเวลาสรุปสำนวนคดีให้แล้วเสร็จภายในเดือน พ.ค. พร้อมยืนยันว่า คดีไม่ได้ล่าช้า เพราะผู้ต้องหาถึงวันนี้เพิ่มเป็น 33 คนแล้ว และยังมีผู้ต้องหาหลบหนีอยู่ 1 ราย ซึ่งถือว่าไม่ได้ล่าช้า เพราะเราไม่สามารถช่วยใครได้เลย ปิดหูปิดตาทุกอย่าง เปิดแต่ใจที่รับสำนวนจากพยานหลักฐานเท่านั้น ส่วนจะมีผู้ต้องหาเพิ่มอีกหรือไม่ ยังตอบไม่ได้ ต้องรอดูคำให้การจากข้อมูลในวันนี้ และคดีคืบหน้าไปกว่า 90% แล้ว
ทั้งนี้ยืนยันด้วยว่าทั้ง 4 นาย ไม่ได้สมัครใจมากล่าวหาใคร แต่เป็นการที่คณะทำงานเรียกเข้ามาให้ข้อมูลเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่ทั้ง 4 ท่านมีคดีอยู่แล้วและไม่ได้เกี่ยวข้องกับการออกหมายจับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. เมื่อวานนี้ เพราะเป็นการเรียกมาก่อนที่ศาลจะออกหมายจับ
ส่วนกรณีที่ นายบอย พัทยา เคยให้สัมภาษณ์ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในคดีนั้น นายวัชรินทร์ ระบุว่า นายบอย ไปพูดกับสื่อมวลชน แต่ตอนให้การกับตนไม่เห็นพูด เพราะตนเป็นคนสอบนายบอย เอง ก็ไม่เห็นบอกอะไร ทั้งที่บอกไปแล้วว่า อยากจะบอกอะไรให้บอกได้เลย และได้ส่งทีมอัยการกับพนักงานสอบสวนไปสอบถึงชลบุรีกับบางส่วนที่เขาอ้างพยานด้วย
ด้าน พล.ต.ต.นำเกียรติ ชี้แจงถึงกรณีที่ก่อนหน้านี้เคยออกมาแฉไม่ได้รับความเป็นธรรมในการถูกดำเนินคดีเว็บพนัน เชื่อเป็นเหตุมาจากตนเองเป็นคนทำคดี 140 ล้าน และมีข้อมูลสาวถึงนายตำรวจบางคน ว่า เป็นความเชื่อที่ตนเองเข้าใจ และได้นำเรียนประชาชนและสื่อมวลชนไปแล้ว จะไม่ขอไปก้าวอ้างถึงวันนั้นอีก เพราะถือว่าวันนั้นตนเองได้ใช้สิทธิก็จบตรงนั้น วันนี้เป็นการมาให้การตามที่พนักงานสอบสวนร้องขอให้มาพบ ส่วนรายละเอียดก็อยู่ที่พนักงานสอบสวน
ส่วนกรณีที่เคยออกมาแฉถึง ผู้กำกับ ด. ที่มีความใกล้ชิดกับบิ๊กตำรวจจนทำให้ตนเองถูกเอาคืนนั้น พล.ต.ต.นำเกียรติ ระบุว่า เป็นรายละเอียดในคดีนี้ไม่ขอเปิดเผยและตนเองก็ไม่ได้รับผิดชอบในคดีนี้แล้ว ยืนยันไม่หนักใจ เพราะในอดีตที่ผ่านมาไม่ได้ทำตามที่ถูกกล่าวหา หน้าที่ของตนเองคือการแก้ปัญหา
ส่วนกรณีที่นายบอย พัทยา กล่าวหาว่ามีการบังคับชี้นำแนวทางการในสอบสวนทางคดี พล.ต.ต.นำเกียรติ ระบุว่า รายละเอียดในสำนวนคดีนี้ก็ไม่ขอกล่าวถึง เป็นเรื่องของคณะพนักงานสอบสวน และการที่เขากล่าวอ้างกล่าวถึงก็เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน หากพิจารณาแล้วพวกตนเองมีการกระทำความผิดก็เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน แต่ยืนยันว่า ไม่ได้กระทำตามที่กล่าวอ้างแน่นอน
ขณะที่ พ.ต.อ.เขมรินทร์ ยืนยันเช่นกันว่า ไม่มีการหนักใจเช่นกัน เพราะถือเป็นชุดสืบสวนสอบสวนชุดแรก และพร้อมให้ข้อมูลที่มีรายละเอียดอยู่ในสำนวนอยู่แล้ว แต่เป็นขั้นตอนที่จะทำให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย