อึ้ง รอง ผอ.โรงเรียนดัง หัวหน้า 'แก๊งค้ายา' พบลูกค้าเป็นข้าราชการเพียบ

27 มี.ค. 2567 สืบนครบาลร่วมกับ ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ บุกทลายแหล่งมั่วสุมยาเสพติดและมั่วเซ็กส์ ของกลุ่มข้าราชการชายรักชาย รวบ "เจ๊เก่ง" หัวหน้าแก๊งค้ายาเสพติด หน้าที่การงานระดับ รอง ผอ.โรงเรียนดัง ย่านปากเกร็ด  พร้อมกับสมุนสุดแสบ "เกย์ท็อป"  อ้างตัวเป็นหมอโรงพยาบาลดัง หลอกหมอหนุ่ม LGTBQ+ สร้างสัมพันธ์ลึกซึ้งหลอกล่อให้เสพยาเสพติด หลอกถ่ายคลิปลับ หลอกเงินจนตกเป็นเหยื่อสิ้นเนื้อประดาตัว

 

หลังการจับกุม พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์  รรท.ผบ.ตร. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. สั่งการ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ขยายผลพบมีข้าราชการมั่วสุมยาเสพติดกับก๊วนชายรักชายจำนวนมาก 
 

การจับกุม เจ๊เก่ง หัวหน้าแก๊งยาเสพติด  ซึ่งเป็นถึง รอง ผอ.โรงเรียน ดังย่านปากเกร็ด เริ่มต้นจาก "เกย์ท็อป"  ที่แอบอ้างว่าเป็นแพทย์โรงพยาบาลดัง ก่อนมีสัมพันธ์ลึกซึ้งแบบชายรักชายกับแพทย์หนุ่ม แล้วหลอกล่อให้เสพยาเสพติด 
 

 

 

โดยรายล่าสุดถูกลวงให้เสพยาเสพติด โดยอ้างว่าเป็นยาบำรุง จนเหยื่อติดสารเสพติดงอมแงม และถูกหลอกให้ถ่ายคลิปลับ ถูกหลอกเงินไปหลายล้านบาทเพื่อแลกกับการได้เสพยา จนเหยื่อแทบสิ้นเนื้อประดาตัว จากการสืบสวนติดตามทราบว่าเกย์ท็อป รายนี้คือ นายกฤตฌาน์พัฒน์  ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับ 2 หมายในคดีค้ายาเสพติด

 

เจ้าหน้าที่ใช้เวลานานกว่า 1 สัปดาห์ ในการแฝงตัวเข้าวงการเก้งกวาง จนพบได้เบาะแสว่า เกย์ท็อป เป็นสมุนของเอเย่นตัวใหญ่ย่านปากเกร็ด และเอเย่นรายนี้ยังเป็นข้าราชการ โดยมักจะนัดเหล่าข้าราชการชายรักชาย มามั่วสุมปาร์ตี้ยาเสพติดกันอยู่ในคอนโดแห่งหนึ่งบน ถ.รัตนาธิเบศร์ 

 

 

 

 

ต่อมาวันที่ 26 มี.ค. 2567 พล.ต.ต.ธีรเดช  จึงนำกำลังชุดสืบนครบาลบุกไปที่ห้องพักดังกล่าว โดยจังหวะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเคาะประตู ผู้ที่อยู่ในห้องพักทำลายพยานหลักฐานไปบางส่วน เมื่อบุกเข้าไปได้ก็พบ นายกฤตฌาน์พัฒน์  หรือ เกย์ท็อป อายุ 37 ปี  อยู่ภายในห้องกับหัวหน้าแก๊ง คือ นายเศรษฐยศ หรือ เจ๊เก่ง อายุ 42 ปี  โดยช่วงแรก เจ๊เก่ง ปฏิเสธไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่เมื่อทำการตรวจค้นห้องพัก พบยาเสพติดหลายรายการ ในลักษณะเตรียมแบ่งขายหลายรายการ พบสมุดบันทึกการซื้อขายยาเสพติดจำนวนมาก และยังพบยากระตุ้นอารมณ์ ถุงยาง เจลหล่อลื่น และหนังโป๊ชายรักชายจำนวนมาก 

 

ซึ่ง เจ๊เก่ง อ้างว่าอุปกรณ์ต่างๆ ไว้ใช้สอนหนังสือในโรงเรียน แต่จากการขยายผลของชุดจับกุมพบว่า เจ๊เก่ง เป็นถึงระดับหัวจ่าย ที่คอยส่งยาเสพติดให้กับข้าราชการอีกหลายคน โดยพบเงินหมุนเวียนในช่วงเดือนที่ผ่านมาเป็นจำนวนกว่า 1,300,000 บาท และจากการตรวจสอบสารเสพติดในร่างกายของทั้ง 2 คน พบว่ามีสารเสพติดในร่างกาย ซึ่งทั้ง 2 จึงให้การยอมรับสารภาพกับเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม

 

 

 

เบื้องต้น  นายเศรษฐยศ หรือเจ๊เก่ง ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า ตนรับราชการครู  ตำแหน่ง รอง ผอ.โรงเรียนแห่งหนึ่งย่านปากเกร็ด สอนวิชาการงานอาชีพให้แก่เด็กชั้นประถมศึกษา โดยตนเริ่มเสพยาตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2566 และเริ่มสั่งยาเสพติดมาขายในช่วงต้นปี พ.ศ. 2567  ซึ่งนำมาขายให้เพื่อน , วัยรุ่น และข้าราชการ ย่านรัตนาธิเบศร์ จนถึงปัจจุบัน ก็ยังคงรับราชการครูอยู่และยังขายยาเสพติดไปด้วย และได้รู้จักกับเกย์ท็อป เมื่อประมาณเดือน มิ.ย. 2566  ซึ่งตนได้นำยามาขายให้กับนายท็อป และให้นำไปขายเรื่อยมา

 

 

 

 

ด้าน นายกฤตฌาน์พัฒน์ หรือ ท็อป รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่าตนจบการศึกษาระดับปริญญาโท และทำงานอยู่ที่บริษัทประกันแห่งหนึ่ง  จากนั้นเกี่ยวข้องกับยาเสพติดต่อเนื่อง กระทั่งถูกดำเนินคดีขณะเสพยาอยู่กับกลุ่มเพื่อนในปี พ.ศ. 2557 เคยถูกจำคุกเป็นเวลา 1 ปี 3 เดือน

 

 

 

 

หลังจากออกมาจากเรือนจำในปี 2558 พยายามหางานแต่ไม่มีใครรับ จึงหวนกลับมาในเส้นทางเดิมโดยการเริ่มขายยาเสพติด จนเริ่มคบหากับแฟนหนุ่มซึ่งเป็นแพทย์ 2 คน และได้เลิกรากันโดยยืนยันว่าไม่ได้หลอกแพทย์ชาย แต่เนื่องจากแพทย์เหล่านั้นติดยาเสพติดที่ตนเอาไปให้เอง

 

ต่อมาได้มารู้จักกับ เจ๊เก่ง ตนก็มารับยาจากเจ๊เก่งไปขายเป็นประจำ โดยขายให้กับกลุ่มเพื่อน จนในที่สุดตนได้ถูกออกหมายจับ และถูกจับกุมตัวส่งศาลแต่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว ตนจึงได้หลบหนีในขณะที่ศาลให้ประกันตัวเป็นระยะเวลา 2 ปี จนมาถูกจับในที่สุด

 

 

 

 

จากการตรวจสอบประวัติพบว่านายกฤตฌาน์พัฒน์ หรือท็อป เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ 2 หมาย คือ

1.หมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ที่ จ.318/2564 ลงวันที่ 20 มิ.ย. 64 ข้อหา “มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมายและพยายามจำหน่าย”

 

2.หมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ที่ จ.189/2564 ลงวันที่ 12 ต.ค. 64 ข้อหา "พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ครอบครองเพื่อจำหน่ายและเสพ-เมทแอมเฟตามีน)"

 

 

 

ถูกดำเนินคดียาเสพติดกว่า 4 คดี

1.พ.ศ.2557 ถูกดำเนินคดีข้อหา “ครอบครองยาเสพติด (ยาไอซ์) เพื่อจำหน่าย” พื้นที่ สน.สุทธิสาร

2.พ.ศ.2560 ถูกดำเนินคดีข้อหา “เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1” พื้นที่ สน.สุทธิสาร

3.พ.ศ.2562 ถูกดำเนินคดีข้อหา “มียาเสพติดประเภท 1 (แอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครอง” พื้นที่ สน.บางโพงพาง

4.พ.ศ. 2564 ถูกดำเนินคดีข้อหา “มียาเสพติดประเภท 1 (แอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย” พื้นที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ

 

 

 

 

หลังการจับกุม เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา ทั้ง 2 คน มีความผิดฐาน "ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 ( เมทแอมเฟตามีนหรือยาไอซ์ ) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายอันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ( เมทแอมเฟตามีนหรือยาไอซ์) โดยผิดกฎหมาย"  พร้อม ตรวจยึดของกลาง จำนวน 10 รายการประกอบด้วย

1.ยาเสพไอซ์ ประมาณ 100 กรัม (ลักษณะใส่ถุงเตรียมแบ่งขาย)

2.คีตามีน จำนวน 2 ถุง

3.เงินสด 31,500 บาท

4.สมุดบัญชีธนาคาร 5 เล่ม (พบเงินหมุนเวียน 1.3 ล้านบาทใน 3 เดือนที่ผ่านมา)

5.ถุงยางอนามัย จำนวน 200 ชิ้น

6.เจลหล่อลื่นบรรจุซอง จำนวน 100 ซอง

7.ไวอากร้า จำนวน 50 ซอง

8.เข็มฉีดยาพร้อมสายยังรัด จำนวน 100 เข็ม

9.External drive จำนวน 6 อัน (บรรจุหนังลามกประเภทชายรักชายรวม 6 TB)

10.อุปกรณ์การเสพยาเสพติดและเครื่องชั่งอีกหลายรายการ