ข่าว

สอบเดือด 20 ประเด็น 'ลูกเฮียเก้า' แจงใช้นามสกุลพี่ชายนักการเมือง พ่อทำเอง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ดีเอสไอ สอบรัว 5 ชม. 20 ประเด็น 'ลูกเฮียเก้า' ยังปฏิเสธทุกข้อหา เผยพ่อพาไปขอใช้นามสกุล 'ปิยพรไพบูลย์' พี่ชายนักการเมือง ส่วนตัวไม่รู้เรื่อง จนท.เตรียมสอบเพิ่ม 25 เม.ย.

ความคืบหน้าเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ ดีเอสไอสอบปากคำนายนายกรินทร์ ปิยพรไพบูลย์ หรือมิกซ์ บุตรชายบุญธรรมของนายหลี่ เซิ่งเจียว หรือเฮียเก้า 1 ใน 5 ผู้ต้องหาคดีตีนไก่สวมสิทธิ หลังเมื่อวานนี้ประสานขอเข้ามอบตัว

 

พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม และในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (26 มี ค.) ใช้เวลากว่า 5 ชั่วโมง ในการสอบปากคำ ผู้ต้องหาปฏิเสธข้อกล่าวหาแล้ว โดยพนักงานสอบสวนได้สอบถาม 20 ประเด็น ซึ่งเป็นประเด็นเกี่ยวกับการเดินทางออกนอกประเทศ ก่อนที่เจ้าตัวจะถูกออกหมายจับ เนื่องจากพอทราบว่าตัวเองถูกออกหมายจับขณะทำธุรกิจที่สาธารณรัฐประชาชนจีน จึงมีการเตรียมตัวประมาณนึง ก่อนประสานผ่านทนายความขอเข้ามอบตัว 

พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม

อีกทั้งพนักงานสอบสวนยังได้สอบถามถึงเรื่องการประกอบธุรกิจ เพราะตามรายงานการสืบสวนสอบสวนพบว่าผู้ต้องหาได้เข้าไปเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามถึง 9 บริษัท และเจ้าตัวยอมรับว่าเป็นกรรมการจริง แต่การบริหารจัดการก็มีคนอื่น ๆ มาดำเนินการด้วย มีหุ้นส่วนมาร่วมลงทุน ทั้ง 9 บริษัทนี้ มีทั้งบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับผ้าอ้อมเด็ก ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ และธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าเกษตร จำพวกขายส่งเนื้อสัตว์

 

ส่วนการโอนเงินหรือการทำธุรกรรมทางการเงินนั้น เจ้าตัวปฏิเสธตอบคำถาม แต่กล่าวอ้างถึงผู้ถือหุ้นรายอื่นๆในบริษัทแทน โดยยืนยันว่าตัวเองไม่รู้เรื่อง มีบทบาทเพียงเป็นผู้ติดต่อประสานงาน 

พ.ต.ต.ณฐพล กล่าวต่อว่า นายกรินทร์ ยืนยันเป็นผู้ดำเนินการติดต่อประสานกับบริษัทที่ประเทศจีน แต่รายละเอียดเชิงลึกยังไม่ได้ให้การกับพนักงานสอบสวน เจ้าหัวปฏิเสธว่าไม่มีคนเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจขายส่งตีนไก่สวมสิทธิไปยังประเทศจีน ทำเพียงธุรกิจนำผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูปจากประเทศจีนมาจำหน่ายในประเทศไทยเท่านั้น โดยจำหน่ายผ่านบริษัทแห่งหนึ่ง ส่วนรายละเอียดอื่นๆที่นายกรินทร์ยังไม่ได้ให้การ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำธุรกรรมทางการเงินและการโอนเงิน การเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม ใน 9 บริษัท ผู้ต้องหาได้ขอกลับไปรวบรวมเอกสารพยานหลักฐานให้ครบถ้วนและจะเข้ามาชี้แจงอีกครั้งในวันที่ 25 เม.ย. 

 

ส่วนความสัมพันธ์ส่วนตัวกับข้าราชการฝ่ายการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเฉพาะการเปลี่ยนนามสกุล เป็น "ปิยพรไพบูลย์" ซึ่งเป็นนามสกุลของพี่ชายนักการเมืองดัง โดยเจ้าตัวให้การว่าเฮียเก้า บิดา เป็นคนพาไปหาพี่ชายนักการเมือง ที่จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อไปขอใช้นามสกุล ยืนยันว่าบิดาเป็นคนดำเนินการเองทั้งหมด ตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรด้วย และจะนำเอกสารการเปลี่ยนแปลงชื่อ-นามสกุล มาชี้แจงอีกครั้ง เนื่องจากชื่อเดิม คือ "นายปรีชา แซ่จ้าว"

 

นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนยังสอบถามว่ารู้จักกับนายสมเกียรติ กอไพศาล อดีตเลขาส่วนตัวของนักการเมืองคนดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ผู้ต้องหาในคดีเดียวกันด้วย เจ้าตัวระบุว่า เคยเจอกับนายสมเกียรติ ที่งานสมาคมการค้าแลกเปลี่ยนเศรษฐกิจไทยเอเชีย ซึ่งมีเฮียเก้าดำรงตำแหน่งเป็นนายกสมาคม ส่วนการไปข้องเกี่ยวหรือรู้จักกับเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นั้น นายกรินทร์ ระบุว่า ตัวเองไม่รู้จักใคร แต่บิดาเป็นผู้ดำเนินการติดต่อประสานงานเองทั้งหมด

 

ส่วนยอดเงินกว่า 20 ล้านที่รับโอนเงินจากเฮียเก้า นายกรินทร์ให้การว่า เป็นค่าก่อสร้างบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นค่าทำธุรกิจขายส่งตีนไก่ไปยังประเทศจีน ทั้งนี้ ในบรรดากว่า 20 คำถามที่พนักงานสอบสวนใช้สอบปากคำนายกรินทร์ ปรากฏว่าเจ้าตัวให้ความร่วมมือตอบเฉพาะเรื่องทั่วไป แต่ถ้าเป็นเรื่องการทำธุรกิจต่าง ๆ ให้การเพียงแค่ว่าเป็นเรื่องของกรรมการและหุ้นส่วนรายอื่น ๆ 

 

ภายหลังการสอบปากคำเสร็จสิ้นพนักงานสอบสวนได้ให้ประกันตัวชั่วคราวด้วยการวางหลักทรัพย์ 200,000 บาท ก่อนนัดหมายให้ผู้ต้องหาเข้ารายงานตัวและสอบปากคำในประเด็นตกค้างอื่น ๆ อีกครั้งในวันที่ 25 เม.ย. เนื่องจากผู้ต้องหาประสานติดต่อเข้ามอบตัวตามหมายจับศาลอาญา พร้อมต่อสู้คดี และให้การเป็นประโยชน์ในบางส่วน 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ