ข่าว

โผล่อีกราย ‘ครอบครองปรปักษ์’ ที่ดินแปลงใหญ่ ‘ย่านปากเกร็ด’

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

โผล่อีกราย ‘ครอบครองปรปักษ์’ ที่ดินแปลงใหญ่ กว่า 600 ตารางวา ‘ย่านปากเกร็ด’ เจ้าของตัวจริงร้องทนายเดชา ช่วยเหลือ

เจ้าของที่ดินแปลงใหญ่ ย่านปากเกร็ด ร้องทนายเดชา ช่วยเหลือ หลังมีผู้บุกยึด ครอบครองปรปักษ์

วันที่ 7 มี.ค.2567 ที่สำนักงานกฎหมายทนายคลายทุกข์ ถนนรามอินทรา นางรัตนา และนางศุภรดา สองพี่น้องเข้าร้องเรียนกับนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา หลังถูกชาวบ้านเข้ายึด ที่ดินแปลงใหญ่ เนื้อที่กว่า 600 ตารางวา และปลูกสิ่งปลูกสร้าง ในพื้นที่ ย่านปากเกร็ด จ.นนทบุรี โดยกระทำในลักษณะ ครอบครองปรปักษ์ มีการเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปากเกร็ด เอาไว้แล้ว แต่คดีไม่มีความคืบหน้า

 

ทนายเดชา กล่าวว่า พ่อแม่ผู้เสียหายซื้อ ที่ดิน ไว้เมื่อปี 2503 เป็นที่ดินตาบอดใกล้ห้าแยกปากเกร็ด ตั้งอยู่ติดกับการเคหะปากเกร็ด และโครงการที่อยู่อาศัย ก่อนจะถูก บุกรุก เข้าไปตั้งเพิงหมาแหงน 8-10 หลัง โดยผู้อยู่อาศัยทั้งหมดเป็นญาติพี่น้องกัน และอ้างว่าได้ครอบครองมาตั้งแต่ปี 2530 แต่หากจะแสดงเจตนาเป็นเจ้าของจริง ต้องไปยื่นศาลตั้งแต่ 10 ปีแรก จึงมองว่ามีพฤติกรรมไม่สุจริต ทั้งยังตั้งเพียงเพิงไม้ ไม่ใช่ลักษณะสิ่งปลูกสร้างถาวร ซึ่งผู้เสียหายแจ้งความไว้ที่ สภ.ปากเกร็ด ตั้งแต่ปี 2549 จนปัจจุบันเกือบ 18 ปี ยังไม่มีความคืบหน้า

 

นางรัตนา กล่าวว่า พ่อแม่ซื้อ ที่ดิน ดังกล่าวไว้ 2 แปลง ตั้งแต่ปี 2503 แต่ไม่ได้เข้าใช้ทำประโยชน์ เนื่องจากเป็น ที่ดินตาบอด ก่อนจะส่งต่อให้ตนกับน้องสาวในเดือน พ.ค.2546 แบ่งกันคนละแปลง ขนาด 326 ตารางวา และ 327 ตารางวา ขณะนั้นยังไม่มีใครเข้าใช้ประโยชน์และอยู่อาศัย จึงได้ขอรังวัด ที่ดิน ต่อมาในเดือน ก.ย.2546 พบว่ามีผู้ บุกรุก เข้ามาในที่ดิน จึงไปแจ้งความที่ สภ.ปากเกร็ด โดยตำรวจบอกว่าผู้บุกรุกได้ออกจากพื้นที่แล้ว แต่ก็ยังมีผู้บุกรุกรายใหม่เข้ามาอยู่แทนตลอด

 

นางรัตนา กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังแจ้งความไว้อีกในปี 2559 , 2565 และ 2566 ชื่อของผู้ที่ถูกแจ้งความ เปลี่ยนอยู่ตลอด และตนไม่เคยพบผู้บุกรุก ไม่เคยมาพูดคุยกัน ขณะที่ตำรวจเพียงแค่ทำหน้าที่คอยสืบหาข้อมูลให้ ก่อนจะส่งอัยการไปเรียบร้อยแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อราว 5 ปีก่อน พยายามไปเจรจากับผู้บุกรุกเพื่อขอให้เซ็นสัญญาเช่า แต่ผู้บุกรุกกลับไม่ยอม อ้างว่าคนอื่นที่เข้ามาอาศัยก็ไม่ได้เสียเงิน ถ้าอยากได้ก็ไปฟ้องเอา

 

นางรัตนา กล่าวอีกว่า ตลอดเวลาตนเสียภาษี ที่ดิน ทุกปี และรังวัดพร้อมสอบเขต ที่ดิน เช่นกัน เมื่อเดือน ก.พ.2567 เข้าไปประเมินราคา ที่ดิน ทั้ง 2 แปลง อยู่ที่แปลงละ 3.4 ล้านบาท ดังนั้น แม้ว่าตัวเองจะไม่เข้าไปใช้ประโยชน์ แต่ก็ไม่ได้ละทิ้ง ที่ดิน

 

“ส่วนตัวไม่เครียด คิดว่าหากอะไรเป็นของเราก็เป็นของเรา คู่กรณีรู้อยู่ว่าไม่ใช่ของเขา น่าจะมีสำนึกบ้าง” นางรัตนา กล่าว

ด้าน นายปราญชา ทนายความฝั่งคู่กรณี ให้ข้อมูลว่า ลูกความไม่มีฐานะ จึงอาสาเข้ามาช่วยคดีนี้ ที่ดิน ข้อพิพาท มีการติดตั้งน้ำและไฟฟ้า และมีผู้อยู่อาศัยหลายราย ปลูกบ้านขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์ ได้รับรูปถ่ายมาแล้ว และ ย้อนไปเมื่อ 5-6 ปีก่อน เจ้าของที่ดิน ได้ติดต่อผู้ที่อยู่อาศัยเพื่อทำสัญญาให้เช่าหรือสัญญาเกี่ยวกับการให้อยู่อาศัย แต่ผู้อาศัยนั้นไม่ยินยอม และอ้างว่าอยู่มาแล้ว 30 ปี ก็เป็นเรื่องที่ต้องไปพิสูจน์ในภายหลัง

 

“การ ครอบครองปรปักษ์ นั้น ผู้ร้องจะต้องแสดงเจตนาเป็นเจ้าของเข้าครอบครองโดยสงบและเปิดเผยเป็นเวลา 10 ปี ทั้งนี้ ยังคงยืนยันจะฟ้องร้อง ครอบครองปรปักษ์ ต่อไป โดยยึดตามเจตนาของหลักกฎหมายที่ผู้แสดงสิทธิ์เข้ามาครอบครอง”ทนายความคู่กรณี กล่าว

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ