ข่าว

เปิดเหตุผล 'ลุงพล' รอดคดี เสียชีวิต 'น้องชมพู่' ล่าสุดศาลสั่งเลื่อนชี้ชะตา

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

'ทนายรัชพล' เชื่อ 'ลุงพล' รอดหมด 3 ข้อหา ไม่มีหลักฐานพิสูจน์พา 'น้องชมพู่' ออกจากบ้าน-ขึ้นเขา แม้พบเส้นผมบนรถ แต่ไม่ได้ระบุ เป็นผู้ก่อเหตุ

นายรัชพล ศิริสาคร ทนายความ เปิดเผยถึงคดีการเสียชีวิตของ "น้องชมพู่" โดยส่วนตัวมีความเห็นว่า นายไชย์พล วิภา หรือ "ลุงพล" รอดคดี เพราะคดีนี้ไม่มีประจักษ์พยาน ไม่มีกล้องวงจรปิด ที่จะพิสูจน์ได้ว่า เป็นคนพาน้องชมพู่ออกจากบ้านหรืออุ้มออกหรือจูงมือออกจากบ้านไปปล่อยบนเขา รวมถึงมีการจัดท่าทางศพ เพราะถ้ามีหลักฐานชี้ชัด ก็สามารถจับได้ตั้งแต่ 2-3 วันแรกแล้ว ซึ่งจนสงสัยงว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเอาหลักฐานไหนมาเชื่อมโยง เพราะคดีอาญาถ้ามีข้อสงสัยต้องยกประโยชน์ให้จำเลยคือยกฟ้อง 

 

"ตามหลักความยุติธรรมแล้วปล่อยคนชั่วไป 100 คน ดีกว่าจับผิดตัวเพียงคนเดียว ถ้าไม่แน่ใจจริงๆเอาคนบริสุทธิ์ไปขังคุก สุดท้ายแล้วเขาไม่ได้ทำ ก็ถือว่าเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงเป็นความผิดที่รับกันไม่ได้" นายรัชพลกล่าว 

ส่วนที่ผ่านมาลุงพลถือเป็นผู้ต้องสงสัยหลักนั้น นายรัชพล ระบุว่า การที่ลุงพลตกเป็นจำเลยก็เข้าใจได้ว่า มีพยานหลักฐานส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง อาจจะมีเส้นผมอยู่ในรถ แต่จะพิสูจน์ได้หรือไม่ว่า ลุงพลพาน้องชมพู่ออกจากบ้านหรือจัดท่าทางศพ ตนว่ายังห่างไกลกันอยู่ แต่สุดท้ายก็ต้องชั่งน้ำหนักพยานว่า เชื่อได้ไหมลุงพลก่อเหตุทั้งหมด ตนยังคิดว่า มีความน่าสงสัยอยู่พอสมควร


โดยเหตุผลที่จะเป็นมูลเหตุของคดีที่ทำให้ศาลพิพากษาลงโทษ คือ มีพยานนิติวิทยาศาสตร์ คือ เส้นผม อาจจะเป็นเรื่องของกลางเป็นผมของน้องชมพู่ทำไมมาอยู่ในรถได้ ซึ่งตรงนี้ลุงพลอาจจะแก้ตัวได้ว่า ติดมาอะไรก็แล้วแต่ อีกประเด็น คือ พยานบุคคลที่จะมาประกอบการพิจารณา หากมีคนเห็นว่าอยู่กับน้องชมพู่ อันนี้น่ากลัว แต่คดีนี้ไม่มีคนเห็น แต่ก็เป็นพิรุธได้ส่วนหนึ่ง ทำให้ศาลอาจจะเชื่อได้ว่า ลุงพลเป็นคนก่อเหตุกระทำความผิดมา ก็อาจจะทำให้ศาลพิพากษาลงโทษก็เป็นไปได้อยู่ ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่ที่ดุลยพินิจของศาล 

นายรัชพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนตัวมองว่าลุงพลน่าจะหลุดทั้ง 3 ข้อหา คดีเริ่มจากการที่กล่าวหาลุงพลพาน้องชมพู่ออกจากบ้านก่อน ข้อหาหลักคือ พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร ถ้าไม่เห็นว่าลุงพลพาน้องชมพู่ออกจากบ้านไปข้อหาอื่นๆก็ไปต่อไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น คดีนพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ อดีตสูตินารีแพทย์ สังหารภรรยา คือ พญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ คดีนี้หมอวิสุทธิ์ไปแจ้งความว่า ภรรยาตัวเองหายตัวไป ตำรวจไปหาจิ๊กซอว์แรก กล้องวงจรปิดก็พบว่าหมอวิสุทธิ์พยุงพญ.ผัสพร ซึ่งมีอาการเหมือนคนมึนเมาหรือโดนยา ทำให้ตำรวจตามหาคนร้ายจนเจอ เพราะหมอวิสุทธิ์อยู่กับผู้ตายเป็นคนสุดท้าย หากไม่มีกล้องวงจรปิดอาจจะตามคดีนั้นไม่ได้ รวมถึงยังมีอีก 1 คดีที่ตนเคยทำมา มีผู้หญิงคนนึงเสียชีวิตข้างทาง กล้องวงจรปิดพบว่า ผู้หญิงรายนี้เดินอยู่คนเดียว ก่อนเป็นศพ จึงไม่สามารถตามต่อได้ เพราะไม่รู้ว่าคนสุดท้ายที่อยู่กับผู้ตายคือใคร 

 

"ดังนั้นคดีของน้องชมพู่ คนสุดท้ายที่อยู่กับผู้ตายคือน้องสะดิ้ง (พี่สาว) พยานปากเอกไม่เห็นอะไรเลย ไม่สามารถให้รายละเอียดได้ ทำให้คดีไม่สามารถบ่งบอกอะไรได้อีกเลย ก็ยากที่จะตามต่อ"   สุดท้ายนายรัชพล ย้ำ "คดีนี้ไม่มีอะไร เชื่อว่าศาลน่าจะยกฟ้องแน่นอน"


สำหรับ 3 ข้อหาที่ตำรวจออกหมายจับ ประกอบด้วย 1.พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร 2. ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกินเก้าปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย 3. กระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ