ข่าว

'เยาวชน 14 ปี' นอนสถานพินิจฯ คืนแรก วิตกกังวล พูดจาน้อย ไม่กินอาหาร

'เยาวชน 14 ปี' นอนสถานพินิจฯ คืนแรก วิตกกังวล พูดจาน้อย ไม่กินอาหาร

05 ต.ค. 2566

รองอธิบดีกรมพินิจฯ เผย 'เยาวชน 14 ปี' นอนสถานพินิจคืนแรก วิตกกังวล พูดจาน้อย ไม่อยากอาหาร เตรียมส่งทีมประเมินสุขภาพจิต หากพบต้องเข้าสู่ขั้นตอนรักษา

 

5 ต.ค. 2566  ความคืบหน้ากรณี เยาวชนชายวัย 14 ปี ก่อเหตุสะเทือนขวัญกราดยิงในห้างดังกลางเมือง ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต 
 

 

น.ส.ศิริประกาย วรปรีชา รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ ( 4 ต.ค.) พ่อของเยาวชนชายวัย 14 ปี ได้เดินทางมาส่งเนื่องจากมีความเป็นห่วงลูกชาย ส่วนขั้นตอนการแรกรับ นักจิตวิทยา นักจิตแพทย์ พ่อบ้านแรกรับ หรือพ่อบ้านแห่งบ้านเมตตา จะร่วมกันพูดคุยสอบถาม และประเมินสุขภาพจิตเบื้องต้น

 

โดยเด็กชายจะได้รับการกักโรคโควิด-19 ก่อน 5 วัน ระหว่างนี้จะประเมินเรื่องสุขภาพจิตอย่างต่อเนื่อง และจะประสานปรึกษาร่วมกับแพทย์เฉพาะทางของสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ หากแพทย์มีความเห็นว่าเด็กชายมีปัญหาเรื่องสุขภาพจิตในขั้นที่ต้องเข้ารับการรักษา ก็จะทำรายงานพร้อมแนบความเห็นแพทย์เสนอต่อศาลเยาวชนฯ เพื่อศาลรับทราบว่าจะมีการส่งต่อเด็กชายไปนอนพักเข้ารับการรักษาตัวที่สถาบันกัลยาณ์ฯ แทน เป็นหลักปกติหากมีเด็กรายใดเกิดอาการจิตเวชร่วมด้วยนั้น จะได้รับการส่งต่อดูแลโดยเเพทย์เฉพาะทาง โดยระหว่างรอการพิจารณาคดีของศาล เด็กชายจะได้ใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนคนอื่นๆ ในบ้านเมตตา ได้ทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อละลายพฤติกรรมและได้รับการพัฒนาพฤตินิสัย

 

เยาวชน 14 ปี กราดยิงในห้างดัง

 

 

 

น.ส.ศิริประกาย กล่าวอีกว่า ระหว่างการควบคุมตัวเด็กชายที่บ้านเมตตา เจ้าหน้าที่กรมพินิจฯ ก็จะต้องลงพื้นที่เพื่อสืบเสาะแสวงหาพยานหลักฐานต่างๆ โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเด็กชาย ทั้งประวัติส่วนตัว การศึกษา การใช้ชีวิต กิจกรรมที่ชอบทำ ความสัมพันธ์กับเพื่อนและครอบครัว เพื่อเจ้าหน้าที่จะนำข้อมูลที่รวบรวมได้นั้น จัดทำเป็นรายงานเสนอต่อศาลเยาวชนฯ สำหรับศาลใช้พิจารณาประกอบขั้นตอนต่างๆ ทั้งการอาจจะอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวหรือไม่ หรือมีคำสั่งให้คุมประพฤติ หรือใช้วิธีการอื่นแทน ซึ่งทั้งหมดจะเป็นอำนาจการพิจารณาของศาล กรมพินิจฯ เพียงทำหน้าที่ในการจัดทำรายงานประเมินข้อมูลทั้งเรื่องประวัติส่วนตัว สุขภาพกายและจิตใจ เสนอต่อศาลเยาวชนฯ

 

 

 

จากการได้รับรายงานเบื้องต้นพบว่า หลังการรับตัวและประเมินสุขภาพเบื้องต้น เด็กชายไม่ค่อยพูดจา อาจเพราะเพิ่งได้เข้ามายังภายในสถานพินิจฯ ยังมีความไม่คุ้นชิน และตนยังไม่ได้รับแจ้งว่าเด็กชายได้แสดงความประสงค์ไม่อยากอยู่ที่นี่หรือเรียกร้องกลับบ้านแต่อย่างใด และไม่ค่อยอยากรับประทานอาหาร แต่แน่นอนว่าจะมีอาการวิตกกังวลบ้าง ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะทุกคนรู้ว่าจะต้องถูกแยก อาจกังวลเรื่องความเป็นอยู่ของตัวเอง แต่ยังไม่มีอาการร้องไห้ฟูมฟายหรือซึมเศร้าผิดปกติ อยู่ระหว่างการค่อยๆ ปรับตัว

 

เยาวชน 14 ปี กราดยิงในห้างดัง

 

 

 

น.ส.ศิริประกาย กล่าวว่า เท่าที่ทราบพ่อของเด็กชายค่อนข้างรู้สึกเสียใจ ส่วนเรื่องอาการทางจิตหรือการฝากฝังดูแล เจ้าหน้าที่กรมพินิจฯ ก็ได้ทำความเข้าใจกับพ่อถึงเรื่องกระบวนการในการดูแล และการออกรายงานของกรมพินิจฯ คือ การสืบเสาะแสวงหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กชาย เเละเราจะต้องทำความเข้าใจกับผู้ปกครองของเด็กๆ ทุกคนที่จะเข้ามาที่สถานพินิจฯ ว่าจะมีกิจกรรมการใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง หรือมีโปรแกรมพัฒนาพฤตินิสัยอย่างไรบ้าง เพื่อส่งเสริมด้านการบำบัดให้เด็กได้พัฒนาตัวเอง เห็นคุณค่าของตัวเองและไม่หวนกลับไปกระทำความผิดซ้ำ

 

 

 

ส่วนกรณีที่ผู้ปกครองจะขอนำตัวเด็กชายไปรักษาตัวภายนอกกับแพทย์เองได้หรือไม่นั้น น.ส.ศิริประกาย กล่าวว่า ทางผู้ปกครองจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลเยาวชนฯ เพื่อศาลพิจารณาและมีคำสั่งแจ้งกลับว่าอนุญาตหรือไม่ อย่างไร เพราะในส่วนของสถานพินิจฯ จะรับหน้าที่เป็นสถานที่สำหรับเด็กที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาล ทั้งนี้ หากศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องขอของผู้ปกครอง ศาลจะมีเอกสารแจ้งมายังสถานพินิจฯ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลต่อไป