ข่าว

ย้อนคดี 'แบงก์' ผู้ต้องหาปล้นฆ่า 'ยิงตำรวจ' อยุธยา 3 ศพ สุดท้ายถูก 'ฆ่าตัดตอน'

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ย้อนคดี 'แบงก์' วัย 22 ปี ผู้ต้องคดีปล้นฆ่า 'ยิงตำรจ' ชุดสืบสวนอยุธยา 3 ศพ ปี 50 ตำรวจตั้งรางวัลนำจับ 5 แสน ส่งกำลังไล่ล่า เจ้าตัวพยายามมอบตัวเกรงถูก 'วิสามัญ' สุดท้าย 'แบงก์' ถูกยิงทิ้งพร้อมเพื่อนรวม 3 ศพ ตำรวจยืนยันไม่ได้ 'วิสามัญ' แต่เป็น 'ฆ่าตัดตอน'

 

8 ก.ย. 2566 ปิดฉากด้วยการวิสามัญ นายธนัญชัย หมั่นมาก หรือ "หน่อง ท่าผา" ลูกน้องคนสนิท "กำนันนก" หลังจากก่อเหตุอุกอาจยิง พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สว.ทล.1 กก.2 บก.ทล. จนเสียชีวิตในงานเลี้ยงบ้าน "กำนันนก" ในพื้นที่จ.นครปฐม

 

ก่อนจะหลบหนีมากบดานในอ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ระหว่างตำรวจปิดล้อม "หน่อง ท่าผา" ต่อสู้ขัดขวางชักอาวุธปืนยิงใส่ต่อสู้เปิดทางหลบหนี จนเกิดการยิงปะทะ เมื่อสิ้นเสียงปืน "หน่อง ท่าผา" ถูกวิสามัญ นอนสิ้นลมหายใจอยู่ข้างรถกระบะของตัวเอง

 

ขณะที่ก่อนหน้านี้ "บิ๊กแจ๊ด" พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี อดีตนายตำรวจมือปราบ ให้ความเห็นว่าคดีอุกอาจขนาดกล้ายิงตำรวจทางหลวง ขนาดนั้น รับรองว่า ผู้บัญชาการในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คงไม่ยอมแน่นอน ที่ให้ลูกน้องตายฟรี

 

 

 

นอกจากนี้ "บิ๊กแจ๊ด" ยังยกตัวอย่าง คดีปี 2550 ที่เกิดขึ้นในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อคนร้ายยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 3 ศพ สุดท้ายกลุ่มคนร้ายถูกฆ่าตัดตอน 3 ศพ ไม่ใช่เป็นการวิสามัญ 

 

 

 

ย้อนคดียิงตำรวจ 3 ศพ เกิดขึ้นช่วงเย็นวันที่ 31 ธ.ค. 2550 ขณะนั้น นายอัครพล สำเภา หรือ "แบงก์" อายุ 22 ปี ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีปล้นและข่มขืน ถูกตำรวจ สภ.พระนครศรีอยุธยา ปิดล้อมบ้านเข้าจับกุม แต่ "แบงก์" กลับต่อสู้และใช้อาวุธปืนยิง ด.ต.โกสินทร์ มั่นพรหม อายุ 41 ปี, จ.ส.ต.ปรีดา จ้อยจุฑา อายุ 33 ปี, และ ส.ต.ต.ศิลา แหวนเงิน อายุ 25 ปี ทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สภ.พระนครศรีอยุธยา เสียชีวิต

 

 

 

ส่วน "แบงก์" สามารถแหกวงล้อมหลบหนีไปได้ โดยภายหลังก่อเหตุดังกล่าว ตำรวจตั้งรางวัลนำจับ "แบงก์" เป็นจำนวนเงินถึง 5 หมื่นบาท

 

 

 

แทบไม่น่าเชื่อเมื่อเปรียบกับความโหดเหี้ยมของ "แบงก์" กับอายุเพียง 22 ปีเท่านั้น แต่ก่อคดีมากมาย จนกระทั่งถูกออกหมายจับมาหลายคดี

 

 

 

"แบงก์" รู้ตัวดีว่า ตัวเองถูกตามล่าทั้งตำรวจ และคู่กรณีที่เคยไปสร้างความเดือดร้อนกับคนอื่นเอาไว้ จึงต้องพกปืนขนาด 11 ม.ม. เป็นเพื่อนตายติดตัวอยู่ตลอดเวลาไม่เกรงกลัวใครทั้งนั้น แม้กระทั่ง "ตำรวจ" 

 

 

 

หลายครั้งที่ก่อคดี "แบงก์" จะหลบหนีไปไม่ไกล บางครั้งวนเวียนอาศัยอยู่กับเพื่อนบ้านบ้าง บางครั้งชะล่าใจแวะเข้ามานอนกับภรรยาในบ้าน

 

 

 

กระทั่ง เย็นวันที่ 31 ธ.ค. 2550 หลายคนสนุกสนานกับงานฉลองส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ "แบงก์" ก็มีบรรยากาศเช่นนี้เหมือนกัน จึงได้มานั่งก๊งเหล้าที่ลานบ้านเพื่อนบ้าน เพราะไม่คิดว่าตำรวจจะมาตามล่าช่วงเทศกาลเช่นนี้ 

 

 

 

วันนั้นมีญาติคนหนึ่ง ได้โทรศัพท์แจ้งตำรวจสภ.พระนครศรีอยุธยาว่า มีคนชื่อ "แบงก์" กำลังนั่นดื่มเหล้ากับเพื่อนๆ อยู่ที่ใกล้บ้านผู้ใหญ่บ้าน และไม่คิดว่า "แบงก์"น่าจะกล้าต่อสู้กับตำรวจ คาดว่าจะต้องมอบตัวสู้คดี 

 

 

 

ไม่นานนักนายตำรวจ สภ.พระนครศรีอยุธยา จึงเข้าปิดล้อมจับกุม โดยมี ด.ต.โกสินทร์ มั่นพรหม อายุ 41 ปี, จ.ส.ต.ปรีดา จ้อยจุฑา อายุ 33 ปี,  ส.ต.ต.ศิลา แหวนเงิน อายุ 25 ปี , ซึ่งเป็นตำรวจฝ่ายสืบสวน มาในชุดนอกนอกเครื่องแบบ ซึ่งตำรวจกลุ่มนี้เพิ่งจะจบหลักสูตรการยิงปืนระดับกองบังคับการจังหวัดมาหมาดๆ เหมือนกัน

 

 

 

เมื่อตำรวจทั้ง 3 นาย ไม่ได้มีการตรวจสอบความเป็นมาของ "แบงก์" อย่างละเอียดอะไรมากนัก เพียงแต่รู้เป้าหมายว่า คนร้ายอยู่ที่บ้านผู้ใหญ่บ้านเท่านั้น จึงถือหมายจับมุ่งตรงไปยังบ้านเป้าหมายทันที 

 

 

 

ตำรวจทั้ง 3 นายขับรถผ่านเลยบ้านเป้าหมายไปแล้ว จึงเลี้ยวกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับลงจากรถตรงไปถามชายฉกรรจ์ทั้ง 3 คนว่า รู้จัก "แบงก์" หรือไม่ แต่ตำรวจไม่ทันได้ระวังตัวอะไรกันมากนัก "แบงก์" โดดออกจากวงเหล้ามายืนจังก้า ชัก 11 ม.ม.คู่กายยิงตำรวจที่ยืนใกล้ที่สุดล้มลงไปก่อน เสี้ยววินาทีนั้น จึงหันปากกระบอกไปยังตำรวจอีกคนหนึ่ง และตำรวจคนสุดท้ายอย่างไม่ทันได้ชักปืนออกมาตอบโต้ต่อสู้แต่อย่างใด เพราะกระสุนแต่ละเม็ดนั้น เจาะเข้าจุดสำคัญทั้งศรีษะและหน้าอกด้วยกันทั้งสิ้น

 

 

 

เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้เชี่ยวชาญในการใช้ 11 ม.ม. วิเคราะห์ว่า "แบงก์" ต้องเป็นผู้ที่ซ้อมการยิงปืนขนาด 11 ม.ม.มามาก จึงสามารถใช้ปืนได้อย่างคล่องแคล่ว จนตำรวจทั้ง 3 นาย ไม่ทันได้ชักปืนต่อสู้ "แบงก์" ยิงได้อย่างไม่ผิดพลาด กระสุนถูกอกและศรีษะอย่างแม่นยำ 

 

 

 

หลังก่อคดีโหดแล้ว จึงหลบหนีไปได้อยู่หลายวัน แต่ "แบงก์" ก็ได้ติดต่อกับทางญาติที่สนิทๆ กันอยู่เป็นระยะๆ พร้อมกับยอมสำนึกผิดและให้ญาติๆ หาวิธีการพาไป "มอบตัว" กับตำรวจ เพื่อต่อสู้คดีตามขบวนการยุติธรรม

 

 

 

ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถูกแบ่งชุดตามล่าตัว "แบงก์" หลายชุด แต่ละชุดนั้นแข่งกัน "ไล่ล่า"ด้วยกันทั้งสิ้น โดยมีเดิมพันถึง 5 แสนบาท 

 

 

 

ญาติๆ ทุกคนเชื่อว่า "แบงก์" จะต้องถูก วิสามัญ อย่างแน่นอน จึงพยายามติดต่อกับญาติที่เป็นตำรวจ เพื่อหวังจะให้พาไปมอบตัวกับผู้บังคับบัญชาระดับสูง 

 

 

 

ในที่สุดวันที่ 10 ม.ค. 2561 ตำรวจสภ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา รับแจ้งมีคนถุกยิงเสียชีวิต 3 ศพ บริเวณถนนเลียบคลองชลประทาน หมู่ 2 ต.บ้านหีบ อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา

 

 

 

เมื่อเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบพบว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 3 ศพ หนึ่งในนั้นคือ "แบงก์" รวมทั้งพรรคพวกอีก 2 คน คือ นายมงคล หรือหมง ยาตาล อายุ 20 ปี และ นายนคร แว่นจันทร์เขต 

 

 

 

พล.ต.ท.รชต เย็นทรวง ผบช.ภ.1 ในขณะนั้น ยืนยันว่า ผู้ตายถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตในที่เกิดเหตุทั้ง 3 ศพ ไม่ใช่เป็นการวิสามัญฆาตกรรมของตำรวจ  ซึ่งเป็นไปได้ว่า "แบงก์" อาจร่วมกระทำผิดในคดีอื่นอีก พรรคพวกเห็นว่าหากปล่อยให้ถูกตำรวจจับกุมตัวไปก็อาจมีปัญหาขึ้นมาภายหลังได้ จึงให้ไปเอาตัวมาดำเนินการ "ฆ่าตัดตอน"

 

 

 

"หากเป็นการ วิสามัญ ของตำรวจมั่นใจว่าตำรวจจะไม่ทำเช่นนั้น เพราะถ้าจะยิงทิ้งไม่ต้องนำตัวมาจาก จ.เพชรบูรณ์ มายิงที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ยิงทิ้งตามป่าที่ไหนก็ได้"

 

 

 

คดีนี้ยังเป็นที่กักขาของญาติสรุปว่า "แบงก์" ถูกฆ่าตัดตอนจริง หรือว่าถูกตำรวจวิสามัญ??

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ