ศพ 'นักธุรกิจเยอรมัน' ถูกแช่แข็งก่อนนำมาหั่น ไม่ทิ้งหลักฐานรอยเลือด

 

12 ก.ค.2566 จากคดีฆาตกรรม นายฮันส์ ปีเตอร์ แรลเตอร์ มัค วัย 62 ปี นักธุรกิจชาวเยอรมัน  ถูกฆ่าหั่นศพยัดตู้แช่ ภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี

 

คดีนี้เจ้าหน้าที่ได้ส่งชิ้นส่วนร่างกายของ นายฮันส์ ปีเตอร์ ที่ถูกหั่นชำแหละแยกชิ้นส่วนมาตรวจชันสูตรพลิกศพที่ สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ตั้งแต่วันที่ 11 ก.ค. ที่ผ่านมา

 

ล่าสุด พล.ต.ต.สุพิไชย ลิ่มศิวะวงศ์ ผู้บังคับการสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ เปิดเผยว่า สำหรับขั้นตอนของนิติเวช จะมีการผ่าพิสูจน์โดยละเอียด เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต และมีการเก็บวัตถุพยาน เก็บดีเอ็นเอ ตรวจหาสารพิษหรือยา จากเนื้อเยื่อในกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งขั้นตอนอาจจะต้องใช้เวลาในการตรวจชิ้นเนื้อในกล้องจุลทรรศน์ คาดว่าไม่เกิน 30 วัน ผลการตรวจจะออกมาอย่างเป็นทางการ ส่วนผลการตรวจหาสารพิษ และดีเอ็นเอ เบื้องต้นจะใช้เวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ถึงจะทราบผล

 

 

 

พล.ต.ต.สุพิไชย ระบุว่า ชิ้นส่วนร่างกายที่ส่งมาตรวจชันสูตรมีทั้งหมด 11 ชิ้น สอดคล้องกับที่พนักงานสอบสวนให้ข้อมูลมาระบุได้ว่า ศพถูกแช่แข็งไว้ไม่เปลี่ยนสภาพ หน้าตายังสามารถจำได้ ซึ่งพนักงานสอบสวนได้เก็บลายพิมพ์นิ้วมือไปตรวจเปรียบเทียบตัวบุคคลแล้ว สามารถยืนยันว่าเป็นนายฮันส์ ปีเตอร์  ทั้งนี้ยังต้องรอผลตรวจทางห้องปฏิบัติการเรื่องสารเสพติดต่างๆ ซึ่งต้องนำมาประกอบการให้ความเห็นสาเหตุการตาย

 

 

 

เมื่อถามถึงรอยหั่นศพสอดคล้องกับอุปกรณ์ที่เจอ อย่างเลื่อยไฟฟ้าที่พบในที่เกิดเหตุ หรือไม่ พล.ต.ต.สุพิไชย กล่าวว่า บาดแผลที่หั่น รวมถึงกระดูก และเนื้อเยื่อต่างๆ เรียบ ถ้าหากเป็นเลื่อย ไม่แน่ใจเรื่องวัตถุพยาน แต่เลื่อยบางชนิดสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ 

 

 

 

"ทั้งนี้ชิ้นส่วนร่างกายพบว่าถูกหั่นแยกเป็นชิ้นส่วน หลังจากผ่านการแช่จนแข็งแล้วนำมาหั่น ซึ่งมีความเป็นไปได้สอดคล้องกับการที่ไม่พบรอยเลือดในที่เกิดเหตุ"

 

 

 

พล.ต.ต.สุพิไชย กล่าวว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบบาดแผลที่เกิดก่อนการเสียชีวิต เป็นบาดแผลฟกช้ำเล็กน้อยตามใบหน้า แขน ขา ซึ่งสาเหตุการเสียชีวิต จากบาดแผลยังไม่เจอ ฉะนั้นยังต้องรอผลการตรวจจากห้องปฏิบัติการ บาดแผลที่ปรากฎที่เป็นบาดแผลก่อนเสียชีวิต มีพวกฟกช้ำถลอก ไม่สามารถทำให้ถึงตายได้ และ นายฮันส์ ปีเตอร์ เสียชีวิตก่อนนำศพไปแช่ เพราะแผลการหั่น เป็นบาดแผลที่เกิดหลังเสียชีวิต