ข่าว

คุก 5 ปี 'อดีตผู้พิพากษา' ริบเงิน 20 ล้าน ฐานเรียกสินบนผู้ต้องหาไต้หวัน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ศาลอาญาคดีทุจริตฯ สั่งจำคุก 5 ปี ริบเงิน 20 ล้าน "อดีตผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8" เรียกเงินสินบนประกันตัวผู้ต้องหาชาวไต้หวันเมื่อปี 61 ชี้พยานหลักฐานโจทก์สอดคล้องมัดเเน่น

30 มิ.ย.  ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง  นัดฟังคำพิพากษา ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 178/2565 ที่ คณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)  ยื่นฟ้อง นาย ฐ. อดีตผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ในความผิดฐานทุจริตต่อ หน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ

 

และขอให้ลงโทษตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 171,175 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 ประกอบ พรป.ว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561มาตรา 30 วรรคสอง  พรป.ว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561มาตรา 128,129ประกอบมาตรา 169  และมาตรา 194  และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาของเจ้าพนักงานของรัฐ พ.ศ. 2543ข้อ 5(2) (เดิม)

 

และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาของเจ้าพนักงานของรัฐ ฯ ขอให้ริบทรัพย์สิน หรือประโยชน์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ของจำเลย รวมเป็นเงินจำนวน 20ล้านบาท

 

และ หรือขอให้จำเลยชำระเงิน หรือทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามมูลค่า รวมเป็นเงินจำนวน 20 ล้านบาท ขอให้ตกเป็นของแผ่นดิน หรือขอให้ริบทรัพย์สินอื่นของจำเลย แทนตามมูลค่าดังกล่าว 

 

 

โจทก์ฟ้องว่า คดีสืบเนื่องจากตำรวจจับกุมผู้ต้องหาชาวไต้หวันและ ศาลจังหวัดสมุทรปราการออกหมายขังไว้ในคดีอาญา เมื่อระหว่างเดือน พ.ย. 2561-12 ธ.ค.2561 ขณะจำเลยดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 8 จำเลยอ้างว่ารู้จักสนิทสนมกับผู้พิพากษาศาลจังหวัดสมุทรปราการสามารถช่วยเหลือเกี่ยวกับ การสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาชาวไต้หวันดังกล่าวได้ โดยจำเลยเรียกและรับเงิน 20 ล้านบาท จากนาย พ. หรือโก พ. เป็นค่าตอบแทน 


ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิจารณาแล้วเห็นว่า นอกจากโจทก์มีบันทึก ถ้อยคำพยานบุคคลที่ให้การต่อคณะผู้ไต่สวนเบื้องต้นยืนยันว่าจำเลยเรียกและรับเงิน 20 ล้านบาท จากนาย พ. รวม 4 ครั้งแล้ว โจทก์ยังมีหลักฐานอื่นที่เชื่อมโยงถึงเหตุการณ์ที่นาย พ. พบและส่งมอบเงิน ให้กับจำเลย ดังนี้

 

ครั้งที่หนึ่ง เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2561จำนวนเงิน1 ล้านบาท ที่โรงแรมใน จังหวัดภูเก็ต โจทก์มีรายการเคลื่อนไหวทางบัญชีธนาคาร สาขาภูเก็ตของ นาย พ. ที่แสดงให้เห็นว่าในวันดังกล่าวนาย พ. เบิกถอนเงินสด 1ล้านบาทบาท จากบัญชีของตน สาขาภูเก็ต เพื่อนำมามอบให้จำเลย ที่รออยู่ที่โรงแรม

 

ครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 11พ.ย. 2561 จำนวน 3 ล้านบาท

 

ครั้งที่สาม เมื่อวันที่ 30 พ.ย.2561 จำนวน 7 ล้านบาท และ

 

ครั้งที่สี่ เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2561  จำนวน 9 ล้านบาท มีการนัดและส่งมอบเงินกันที่ โรงแรมย่าน สะพานควาย กทม.

 

โจทก์มีพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยและนาย พ. นัดพบเพื่อส่งมอบเงินกันที่โรงแรมย่านสะพานควายในช่วงวันเวลาดังกล่าว ได้แก่ ข้อมูลการเดินทางของจำเลย ในช่วงเวลาดังกล่าวโดยเครื่องบินระหว่างภูเก็ต - ดอนเมือง และดอนเมือง - ภูเก็ต ใบเสร็จค่าที่พักโรงแรมย่าน สะพานควาย  ซึ่งระบุวันเวลาที่นาย พ. เข้าพัก

 

 

ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่มีการนัดพบจำเลย ภาพถ่ายจำเลยในบริเวณโรงแรมย่านสะพานควาย และ ที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสะพานควาย ซึ่งเป็นสถานที่ใกล้เคียงกับโรงแรม รายการเคลื่อนไหวทางบัญชี ธนาคารของนาย พ. ที่แสดงว่านาย พ. ทำรายการฝากถอนเงินเพื่อรวบรวมเงินนำไปมอบให้จำเลย รวมถึง คลิปวิดีโอภาพและเสียงและสัญญาจ้างที่ทำขึ้นเมื่อวันที่12 ธ.ค.2561 ซึ่งเป็นการรับเงินครั้งสุดท้าย 

 

พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ปราศจากข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยเรียกและรับเงิน จากนาย พ. 20 ล้านบาท เป็นค่าดำเนินการในการขอปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาชาวไต้หวัน ในคดีอาญาของศาลจังหวัดสมุทรปราการจริง แม้จำเลยไม่เคยรู้จักผู้พิพากษาศาลจังหวัดสมุทรปราการที่มี คำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาชาวไต้หวันหรือจำเลยไม่ตั้งใจจะเอาทรัพย์ที่เรียกไปให้ ผู้พิพากษาดังกล่าวเลยก็ตามก็เป็นการกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิดตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯมาตรา 175 และประมวล กฎหมายอาญามาตรา 143แล้ว และการที่จำเลยรับเงินดังกล่าวจากนาย พ. ซึ่งไม่ใช่ทรัพย์สินหรือ ประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ทั้งไม่ใช่ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยา จึงเป็นการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ราชการหรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามมาตรา มาตรา 128 วรรคหนึ่ง และ 129 แห่ง พรป.ฉบับดังกล่าวข้างต้นอีกกระทงหนึ่งด้วย

 

แต่สำหรับความผิดตาม  พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 171นั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความจากทางไต่สวนว่า นาย พ. รู้อยู่แล้วว่าจำเลยเป็นผู้พิพากษาศาล อุทธรณ์ภาค 8 และจำเลยเรียกรับเงินโดยอ้างว่าจะนำไปมอบให้ผู้พิพากษาศาลจังหวัดสมุทรปราการผู้มี ตำแหน่งหน้าที่ในการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาอีกทอดหนึ่งและนาย พ. กับพวกก็เข้าใจเช่นนั้น โดยไม่มีการกระทำหรือพฤติการณ์อื่นใดที่จะทำให้นาย พ. กับพวกเชื่อหรือเข้าใจว่าจำเลยมีอำนาจหน้าที่ในการ อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาของศาลจังหวัดสมุทรปราการ กระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานนี้ 

 

พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พรป.ว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561มาตรา 128วรรคหนึ่ง, 129ประกอบมาตรา 169,175 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อ กฎหมายหลายบทลงโทษตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. 2561มาตรา 175 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก 5 ปี ริบเงิน 20 ล้านบาท หรือทรัพย์สินอื่นของจำเลยแทนตามมูลค่าดังกล่าว ข้อหาอื่น นอกจากนี้ให้ยก 

 

สำหรับคดีนี้ศาลได้ดำเนินกระบวนพิจารณา จำนวน 10 นัด รวมระยะเวลาตั้งแต่วันฟ้องถึงวันอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นเวลา 9 เดือน 3 วัน

 

 

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ