ข่าว

นักธุรกิจชาวอังกฤษ ร้อง 'บ.อสังหาฯ' ดังหลอกซื้อคอนโดเกาะสมุย

นักธุรกิจชาวอังกฤษ ร้อง 'บ.อสังหาฯ' ดังหลอกซื้อคอนโดเกาะสมุย

01 มิ.ย. 2566

นักธุรกิจชาวอังกฤษ ร้องตำรวจเอาผิด "บริษัทอสังหาริมทรัพย์" บนเกาะสมุยชื่อดังหลอกซื้อคอนโดฯ แต่ไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ให้ พบผู้เสียหายมากกว่า 5 ราย ความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท ด้านบริษัทผู้ถูกกล่าวหา เชื่อเจ้าตัวรู้เรื่องสัญญาการซื้ออยู่แล้ว

1 มิ.ย. 2566 นายภัทรกร ทีปบุญรัตน์ ตัวแทนสภาองค์กรผู้บริโภค นำผู้เสียหาย นายเดวิด เอ็ดเวิร์ด แชพเพิล อายุ 70 ปี สัญชาติอังกฤษ ผู้เสียหาย พร้อมด้วยนายเตวิช หะจิ ทนายความ เดินทางมายังศูนย์รับแจ้งความ กองบัญชาตำรวจสอบสวนกลาง ยื่นหนังสือร้อง พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ให้สืบสวนสอบสวนดำเนินคดีกับบริษัทชื่อดัง ประกอบธุรกิจด้านการขายอสังหาริมทรัพย์เกาะสมุย หลังมีผู้เสียหายซื้อห้องพัก มีการโอนเงินเต็มจำนวน แต่กลับไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ให้กับผู้เสียหาย ทั้งๆ ที่ผู้เสียหายมีสิทธิ์ได้ครอบครองตามกฎหมาย

 

 

 

 

ชาวอังกฤษบริษัทอสังหาฯดังหลอกซื้อคอนโดฯเกาะสมุย เสียหายกว่า 100 ล้านบาท

 

 

นายภัทรกร เปิดเผยว่า นายเดวิด ผู้เสียหายได้มาร้องเรียนสภาองค์กรผู้บริโภคเมื่อ 19 เม.ย. 2566 ว่าได้ซื้อคอนโดมิเนียมหรูบนเกาะสมุยราคากว่า 15 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2559 และพยายามขอเอกสารสิทธิ์ แต่ปรากฎว่ายังไม่ได้เอกสาร

 

ต่อมาพบว่า ทางโครงการไม่ได้ยื่นขออนุญาตและพบข้อพิรุธหลายอย่าง เช่น แจ้งข้อความเท็จ หลอกลวงผู้บริโภค ไม่จดทะเบียนอสังหาริมทรัพย์แก่ลูกค้า ไม่ส่งมอบเอกสารสิทธิ์สำนักงานที่ดินแก่ลูกค้า นำที่ดินภายในโครงการไปขาย จำนองโดยลูกค้าไม่รู้เห็นยินยอม
 

 

ชาวอังกฤษบริษัทอสังหาฯดังหลอกซื้อคอนโดฯเกาะสมุย เสียหายกว่า 100 ล้านบาท

 

 

ขณะที่นายเตวิช เปิดเผยว่า บริษัทดังกล่าวจะใช้วิธีการนำเสนอขายโครงการผ่านทางเว็บไซต์ มีการนำเอกสารสิทธิ์ต่างๆ มาให้ดู และรูปภาพของโครงการ สร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้เสียหาย จึงตัดสินใจซื้อขายห้องพักดังกล่าวจำนวน 2 ห้อง ในราคา 15 ล้านบาท มีการเข้าไปอยู่อาศัยแล้ว แต่กลับไม่มีการโอนเอกสารสิทธิ์

 

เมื่อตรวจสอบแล้วยังพบว่ามีผู้เสียหายถูกบริษัทฯ ดังกล่าว หลอกอีกมากกว่า 5 ราย ซึ่งเป็นชาวต่างชาติทั้งหมด รวมมูลค่าความเสียหายประมาณกว่า 100 ล้านบาท โดยในวันนี้มีการแจ้งความกับบริษัทดังกล่าว ในข้อหา ฉ้อโกงประชาชน และยักยอกทรัพย์

 

ด้าน นายพรศักดิ์ วิภาสอาภานนท์ ทนายความบริษัทอสังหาริมทรัพย์คู่กรณี เปิดเผยว่า เชื่อว่าตัวผู้ซื้อ ทราบอยู่แล้วว่า การซื้อห้องชุดดังกล่าว ผู้ซื้อจะได้สัญญา และการเข้าเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่บริหารทรัพย์ส่วนกลาง ซึ่งตัวผู้ซื้อจะมีกรรมสิทธิ์เหมือนกับการซื้อคอนโดฯทั่วไป โดยตัวเอกสารจะมีการยืนยันจากเจ้าของโครงการในการถือสัญญา และถือหุ้น

 

 

ทนายความบริษัทอสังหาริมทรัพย์คู่กรณี เชื้อผู้ร้องรู้เรื่องกรรมสิทธิ์ซื้อขาย

 

 

สำหรับเรื่องนี้ ตัวผู้ร้องเรียนทราบเป็นอย่างดี และปัจจุบันก็ยังพักอาศัยอยู่ในคอนโดฯโดยครอบครองอยู่ 2 ยูนิต พักอาศัย 1 ยูนิต และให้เช่า1 ยูนิต ส่วนเอกสารราชการอยู่ระหว่างตรวจสอบว่า วันที่ทำนิติกรรม มีการให้สำนักงานกฏหมายช่วยตรวจสอบหรือไม่ เนื่องจากชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้ออาคารภายในเกาะสมุย มักจะให้บริษัทกฎหมายช่วยดูแล 

 

ส่วนสาเหตุที่ร้องเรียนนั้นเชื่อว่า น่าจะเป็นการอยากลงทุน ในอสังหาริมทรัพย์ภายในเกาะสมุย แต่เนื่องจากเป็นชาวต่างชาติ จึงไม่สามารถถือกรรมสิทธิ์ได้ตามกฎหมาย จึงเลือกลงทุนในโครงการนี้ เพื่อที่จะปล่อยเช่า แต่ตัวผู้ร้องเรียนอาจจะอยากขาย เพื่อที่จะได้เงินคืนจึงเป็นเหตุให้ออกมาร้องเรียน ซึ่งไม่ตรงกับความจริง เนื่องจากทางโครงการมีเอกสารสัญญาอย่างชัดเจน และถูกต้อง รวมถึงไม่ได้มีการหลอกลวง หรือฉ้อโกง ซึ่งในสัญญาระบุไว้ชัดเจนว่าหากมีข้อโต้แย้งจะต้องทำการยื่นให้ อนุญาโตตุลาการเป็นผู้วินิจฉัย ซึ่งก็ได้มีการวินิจฉัยแล้วว่า สัญญาถูกต้อง และสามารถใช้ได้

 

ทั้งนี้ตนไม่ทราบว่า ทำไมผู้ร้องเรียนไม่ใช้สิทธิตามกระบวนการ  และเข้าใจได้ว่าการใช้สิทธิตามกระบวนการอาจจะล่าช้า จึงใช้การออกมาเรียกร้องกับสื่อ เพื่อเป็นกระบอกเสียง แต่ตัวผู้ร้องเรียนก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมาว่าการเรียกร้องผ่านสื่อ ทำให้โครงการเสียหาย ถึงแม้จะไม่มีการเอ่ยชื่อก็ตาม แต่เอกสาร และภาพที่เอามาแสดงสามารถระบุได้ ทางโครงการฯจึงรอรับหมายเรียกจากพนักงานสอบสวน เพื่อให้เข้าไปชี้แจง ซึ่งหลังการชี้แจงเสร็จสิ้นทางโครงการฯก็จะมีการแจ้งความดำเนินคดีทั้งทางแพ่ง และอาญา ในคดีแจ้งความเท็จ และหมิ่นประมาทต่อไป