ข่าว

บุกรวบหนุ่ม 'แก๊งคอลเซ็นเตอร์' อ้างเหยื่อส่งพัสดุผิดกฎหมาย เสียหาย 42 ล้าน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ตำรวจไซเบอร์ รวบหนุ่มแสบร่วม 'แก๊งคอลเซ็นเตอร์' อ้างเป็นพนักงานขนส่ง ทำหน้าที่เป็นสายที่ 1 หลอกผู้เสียหาย มีพัสดุผิดกฎหมายตกค้างที่กรมศุลกากร เสียหายกว่า 42 ล้านบาท

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แถลงข่าวหลังเปิดปฏิบัติการทลาย 'แก๊งคอลเซ็นเตอร์' อ้างเป็นพนักงานขนส่ง แห่งหนึ่ง หลอกผู้เสียหายมีพัสดุผิดกฎหมายตกค้างที่กรมศุลกากร เสียหายกว่า 42 ล้านบาท

 

 

สืบเนื่องมาจากได้มีผู้เสียหายเป็นนักธุรกิจ ถูก แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกลวงว่า เป็นพนักงานบริษัทขนส่งแห่งหนึ่ง มี พัสดุผิดกฎหมาย ส่งจากต่างประเทศติดที่กรมศุลากากร ได้ระบุชื่อที่พัสดุเป็นชื่อนามสกุลผู้เสียหาย มีความเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดฐานฟอกเงิน จึงหลงเชื่อโอนเงินไปจำนวนกว่า 42 ล้านบาท

 

ภายหลังทราบว่าถูกหลอกลวง จึงได้ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ผ่านระบบการรับแจ้งความออนไลน์ ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัด บก.สอท.1 จึงได้ทำการสืบสวนสอบสวน และรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบเส้นทางการเงิน หาความเชื่อมโยงทางคดี กระทั่งเมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2565 พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้ได้

 

 

ต่อมาเมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2566 เวลาประมาณ 14.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัด บก.สอท.1 ได้จับกุมตัว นายสุรเกียรติ (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา 

 

 

ในข้อหา "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันเป็นซ่องโจร, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน" ที่ ต.ศาลากลาง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี

 

 

รวบแก๊งคอลเซนเตอร์

 

จากการสอบปากคำผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และให้การอีกว่า ผู้ต้องหา ได้หางานผ่านเฟสบุ๊ก พบว่ามีรับสมัครงานเป็นแอดมิน เว็บพนัน จึงได้ติดต่อขอทำงานไป และได้เดินทางไปทำงานที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา เมื่อไปถึงพบว่า เป็นออฟฟิศ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยเฉพาะ มีนายทุนเป็นคนจีน 

 

 

ผู้ต้องหาจึงตกลงทำงานด้วย โดยทำหน้าที่หลอกลวงเป็นสายที่ 1 พนักงานขนส่งแห่งหนึ่ง มีสคริปให้ท่องหลอกลวงว่า "คุณมีพัสดุตกค้าง มีหมายเลขพัสดุหรือไม่ ถ้าไม่มีให้แจ้งชื่อนามสกุล เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อแจ้งชื่อนามสกุลแล้ว พนักงานจะตรวจสอบสักครู่หนึ่ง เมื่อตรวจสอบเสร็จจะแจ้งว่าพบพัสดุผิดกฎหมายถูกกรมศุลกากรอายัดไว้โดยส่งมาในชื่อนามสกุลคุณ 

 

 

ต่อมาจะถามผู้เสียหายว่า เป็นคนส่งหรือไม่ ถ้าตอบ ไม่ ให้ถามต่อว่าทำไมมีชื่อคุณเป็นคนส่ง ถ้าตอบ ไม่ทราบ ให้แจ้งผู้เสียหายว่ามีการแอบอ้างในการใช้ชื่อคุณมาส่งพัสดุ ให้ผู้เสียหายเดินทางมาที่สาขา สะดวกหรือไม่ ถ้าไม่สะดวกให้ติดต่อไปที่สถานีตำรวจ จะช่วยประสานงานให้"

 

 

จากนั้นเมื่อเหยื่อหลงเชื่อ จะกดต่อสายส่งไปที่สคริปคนต่อไป สายที่ 2-3 จนถึงขั้นตอนที่ผู้เสียหายโอนเงิน โดยทำงาน 08.00-16.00น. ได้เงินเดือนเดือนละ 20,000 บาท ถ้าทำยอดได้สูงจะได้เดือนละ 30,000 บาท และมีโบนัสอีก 0.1% จากยอดเงินที่หลอกได้ ผู้ต้องหาทำมา 5 เดือนเศษ ก็กลับบ้านเพราะเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งแล้ว

 

 

ฝากไปยังประชาชนให้พึงระวังการหลอกลวงลักษณะดังกล่าว ต้องรู้เท่าทันกลโกงของมิจฉาชีพ ควรมีสติก่อนการโอนเงินทุกครั้ง ควรหาข้อมูลให้รอบด้าน อย่าหลงเชื่ออะไรง่ายๆ ควรตรวจสอบให้ดีก่อน "ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน" ทั้งนี้ การปฏิบัติการของ บช.สอท. ยังคงมุ่งเน้นที่จะสนองนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งดำเนินการปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง มีผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรม คำนึงถึงความเดือดร้อน และอำนวยความยุติธรรมของประชาชนเป็นสำคัญ

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ