'รองเลขาธิการ ปปง.' เดือด ฟ้องหมิ่น 'อัจฉริยะ' เรียก 10 ล้าน ปม สารวัตรซัว
ดุเดือด 'รองเลขาธิการ ปปง.' พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ฟ้องแล้ว เรียกค่าเสียหาย 'อัจฉริยะ' 10 ล้านบาท ฐานหมิ่นประมาท ปมถุงเงิน สารวัตรซัว
อีกหนึ่งประเด็นร้อน ภายหลังนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ ดำเนินคดีอาญากับรองเลขาธิการ ปปง. ยศ พล.ต.ต.และ พล.ต.ท. 2 นาย กับพวก รวม 4 คน ในข้อหาฟอกเงิน ในกรณีที่นำเงินจากสารวัตรซัว ไปมอบให้กับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จำนวน 6 ล้านบาท ซึ่งภายหลัง พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง.ออกมาประกาศ เตรียมแถลงข่าว พร้อมฟ้องกลับผู้ที่พาดพิงถึง
ล่าสุด รองเลขาธิการ ปปง. เดินทางมาที่ สน.พหลโยธิน แจ้งความกลับ “อัจฉริยะ” แล้ว ในข้อหาหมิ่นประมาท-PDPA เรียกค่าเสียหาย 10 ล้านบาท พร้อมทวงเงิน 2 หมื่นบาท ที่ยืมไปนานแล้วด้วย เจ้าตัวยืนยันว่า ไม่เกี่ยวข้องกรณีปมถุงเงิน สารวัตรซัว 6 ล้าน ให้ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แย้ม “ทนายษิทรา” เป็นรายต่อไป
โดย พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เดินทางมาที่สน.พหลโยธิน เพื่อแจ้งดำเนินคดีกับ นายอัจฉริยะ ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือ PDPA
จากการที่ นายอัจฉริยะ ได้มีการนำรูปภาพของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ มาเปิดเผย และให้สัมภาษณ์พาดพิง กล่าวอ้างว่า เป็นคนนำเงินไปให้ และยังระบุว่า พบเส้นทางการเงินจำนวนหลายล้านบาท จากเว็บพนันออนไลน์ โอนเข้าบัญชีของภรรยา
พล.ต.ต.เอกรักษ์ กล่าวว่า ที่ต้องเดินทางมาแจ้งความวันนี้ เนื่องจาก เมื่อวาน นายอัจฉริยะได้ให้สัมภาษณ์ โดยมีถ้อยคำที่พาดพิงถึงเขาและภรรยา รวมถึงยังพูดถึงตำแหน่งหน้าที่ ทำให้สำนักงาน ปปง. เสียหาย ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้เลย
โดยเหตุการณ์ในรูปภาพที่มีบุคคล 2 คน ยืนอยู่พร้อมถุงเงินนั้น ยืนยันว่า ไม่ได้ไปและไม่ได้อยู่ในสถานที่ดังกล่าวเลย
“ผมท้าให้ตรวจสอบได้ทุกอย่าง เพราะวิทยาศาสตร์โกหกไม่ได้ ซึ่งผมเกี่ยวข้องกับบุคคลในรูปเพียงแค่เป็นทางผ่านเท่านั้น คือ เมื่อต้นปี 2565 ตั้งแต่ยังไม่ได้มาดำรงตำแหน่งที่ ปปง. ได้แนะนำให้ทั้ง 2 คนในภาพรู้จักกัน แต่หลังจากที่ทั้ง 2 คนแลกเบอร์กัน ก็ไม่รู้เรื่องอีกเลยว่าเขาติดต่ออะไรกัน” รองเลขาธิการ ปปง. กล่าวยืนยัน
รองเลขาธิการ ปปง. เล่าต่อว่า ส่วนตัวเขารู้จักกับบุคคลซ้ายมือ เพราะตอนเป็น ผู้กำกับการสืบสวนนครบาล 6 เจ้าตัวได้ค้าขายอยู่ในเขตเยาวราช จึงได้เจอกันบ้าง และภรรยาก็รู้จักกัน โดยตอนที่แนะนำให้รู้จักกันกับ พล.ต.ท.ในภาพ ขณะนั้นทำงานอยู่ที่ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 จึงไม่ค่อยอยู่ที่กรุงเทพมหานคร เลยไม่รู้ว่าเจ้าตัวประกอบธุรกิจสีเทาหรือไม่ แล้วตอนที่ติดต่อมา บุคคลในภาพก็บอกว่า อยากจะทำบุญ และติดต่อธุรกิจกับนายชูวิทย์ เป็นแฟนคลับของนายชูวิทย์ เขาจึงแนะนำให้รู้จักกับ พล.ต.ท.ในภาพ เพราะว่าสนิทสนมกับนายชูวิทย์ แต่ในส่วนของเขานั้น ไม่ได้รู้จักกับนายชูวิทย์เป็นการส่วนตัว อาจเคยเจอและพูดคุยกันบ้าง แต่ยืนยันว่า ตนไม่เคยไปที่โรงแรมเดวิส
นอกจากนี้ นายอัจฉริยะยังได้พาดพิงถึงภรรยาของเขาว่า ได้รับเงินโอนจากเครือข่ายพนันออนไลน์ ซึ่งยืนยันว่าไม่เป็นความจริง โดยภรรยาตนประกอบอาชีพสุจริต เป็นเซลล์ขายไม้อัด ทำงานบ้านเอง ไม่จ้างคนใช้ ธุรกรรมทางการเงินสามารถตรวจสอบได้หมด ซึ่งหลังจากนายอัจฉริยะให้สัมภาษณ์เมื่อวาน พอกลับบ้านไป เลยถูกภรรยาถามว่า ภรรยาคนไหนที่มีเงินหลายล้านเข้าบัญชี
ส่วนภาพคู่กับชายคนหนึ่ง ที่นายอัจฉริยะอ้างว่า เป็นคนเคลียร์คดีพนันออนไลน์นั้น ก็ไม่เป็นความจริง โดยคนในภาพเป็นลูกชายของเพื่อน ซึ่งเป็นนักการเมืองท้องถิ่น จ.อ่างทอง เหตุการณ์ในภาพ คือ ตนไปบรรยายอบรม ที่ โรงแรมแกรนด์ไฮแอท เมื่อต้นมีนาคม ที่ผ่านมา พอเจอกัน เจ้าตัวเลยขอถ่ายรูปไปให้พ่อดูเท่านั้น แม้แต่เบอร์โทรก็ยังไม่มี
ส่วนกับ “สารวัตรซัว” นั้น ก็ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวและไม่เคยติดต่อกัน แต่ยอมรับว่า หลายปีก่อน ตอนที่ยังเป็นตำรวจ เคยมีคนพา “สารวัตรซัว” มาสวัสดี ซึ่งก็รับไหว้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร
สำหรับกรณีที่มีการกล่าวหาว่า ใช้ตำแหน่งหน้าที่ในสำนักงาน ปปง. คอยเคลียร์คดีให้กับเว็บพนันออนไลน์ ยืนยันว่า ไม่มี เพราะอำนาจหน้าที่ทำไม่ได้อยู่แล้ว ตำแหน่งของเขาจะรับผิดชอบแค่งานนโยบายด้านยุทธศาสตร์ / การกำกับดูแลสถาบันการเงิน / และการฝึกอบรมเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับการยึดทรัพย์
พล.ต.ต.เอกรักษ์ กล่าวอีกว่า วันนี้ มาดำเนินคดีกับนายอัจฉริยะก่อน เพราะลามปามถึงภรรยาที่เคารพ ส่วนนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ก็พาดพิงถึงเช่นกัน ขอให้รอเป็นรอบ 2
ทั้งนี้ ไม่ทราบจุดประสงค์ที่นายอัจฉริยะมาพาดพิงถึง ซึ่งส่วนตัวรู้จักกับนายอัจฉริยะมานานแล้ว ตั้งแต่ยังเป็น รองผู้บังคับการตำรวจจราจร (รอง ผบก.จร.) นายอัจฉริยะยังเคยเดือดร้อนมาขอยืมเงิน 20,000 บาท ก็ไม่เคยทวง เจอกันก็ทักทายปกติ ซึ่งมองว่าหากนายอัจฉริยะมีข้อสงสัยอะไร ก็ให้โทรศัพท์มาถามได้ ไม่ใช่ไปให้สัมภาษณ์ให้เสียหาย
อย่างไรก็ตาม การแจ้งความวันนี้ จะเรียกค่าเสียหายจากนายอัจฉริยะจำนวน 10 ล้านบาท พร้อมกับเปลี่ยนใจจะทวงเงิน 20,000 บาท ที่นายอัจฉริยะติดเอาไว้ด้วย จะนำไปทำบุญล้างซวย และหากหลังจากนี้พิจารณาแล้วพบความผิดข้อหาใดเพิ่มเติมอีก ก็จะดำเนินการทั้งหมดแบบเต็มคาราเบล