ข่าว

จำคุก 10 ปี 'นายเนย' คนสนิท สมเด็จพระวันรัต อมเงินวัด สั่งชดใช้คืน 80 ล้าน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ศาลอาญา พิพากษาจำคุก 'นายเนย' คนสนิท สมเด็จพระวันรัต เป็นเวลา 10 ปี อมเงิน วัดวชิรธรรมาราม เข้าบัญชีตัวเอง พร้อมสั่งให้ชดใช้คืน 80 ล้าน

เป็นข่าวสะเทือนวงการสงฆ์ เมื่อปี 2565 เมื่อมีการตรวจสอบพบ นายอภิรัตน์ ชยางกูล ณ อยุธยา หรือ "นายเนย" หรือ ไฮโซเนย คนสนิท "สมเด็จพระวันรัต" มีพฤติกรรม "ยักยอกเงินวัดบวรฯ" และวัดวชิรธรรมาราม แล้วนำไปใช้ส่วนตัว เป็นเงินจำนวนร่วม 200 ล้านบาท โดยอาศัยช่วงที่สมเด็จพระวันรัต อาพาธ ปลอมแปลงเอกสาร และอัยการได้มีคำสั่งฟ้องไป เมื่อ 2 มิ.ย.2565 ในคดีฉ้อโกงเงินวัดวชิรธรรมาราม 80 ล้านบาท  

 

ล่าสุด ศาลอาญา มีคำพิพากษา จำคุกไฮโซเนย 10 ปี พร้อมให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 80.1 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ในคดีที่พนักงานอัยการ และรักษาการเจ้าอาวาสวัดวชิรธรรมาราม เป็นโจทก์ฟ้อง ฐานลักทรัพย์ ฉ้อโกง ปลอมแปลงเอกสารใช้ และใช้เอกสารปลอม ทำให้วัดวชิรธรรมาราม และวัดสาขา ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเสียหาย

 

คดีนี้โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า เดิมสมเด็จพระวันรัต เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร และรักษาการเจ้าอาวาสวัดวชิรธรรมาราม อาพาธรักษาตัวที่โรงพยาบาล ระหว่างปี 2564-65 ทางสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้ส่งเงินจำนวน 78.5 ล้านบาท เข้าบัญชีวัดวชิรธรรมาราม เพื่อใช้จ่ายในการก่อสร้างวัดวชิรธรรมาราม และโครงการอื่นๆ มีสมเด็จพระวันรัต เป็นผู้มีอำนาจเบิกถอนเงินเพียงผู้เดียว ในหลายบัญชี อาทิ ธนาคารกสิกรไทย สาขาบางลำภู วัตถุประสงค์ฝากเงินเพื่อเอาดอกเบี้ย จนเงินเพิ่มเป็น 80.1 ล้านบาท

 

นายเนยเป็นศิษย์คนสนิท รู้ว่าเงินไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของสมเด็จพระวันรัต แต่เป็นของวัดวชิรธรรมฯ ได้ออกอุบายหลอก สมเด็จพระวันรัต ให้ลงลายมือชื่อเบิกถอนเงิน หลายครั้ง เพื่อไปเบิกถอนเงินจากธนาคาร แล้วนำไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่ธนาคาร เมื่อเจ้าหน้าที่โทรมาสอบถามสมเด็จพระวันรัต ก็ไม่ได้รับสาย เพราะจำเลยให้ปิดเสียง และนำไปไว้ไกลๆ จำเลยได้แจ้งศิษย์คนอื่นๆ ว่า ถ้าธนาคารโทรมาหาเพื่อยืนยันการถอนเงิน ก็รับและให้บอกว่า ให้โทรหาจำเลย เป็นต้น โดยมีการถอนเงินตั้งแต่หลักหมื่น จนถึงหลัก 50 ล้านบาท เพื่อส่งให้ บิดา มารดา และน้องจำเลย ทั้งนี้ ได้โอนเงิน 50 ล้านบาทเข้าบัญชีจำเลยเอง
    นายเนย ผู้ต้องหายักยอกเงินวัด

นอกจากนี้ ไฮโซเนย นำเงินที่หลอกลวงมา ไปซื้อรถเบนท์ลีย์ บีเอ็มดับบลิว และรถราคาแพงหลายคัน กับจองและสั่งซื้อเลขป้ายทะเบียนสวย กระเป๋าราคาแพง อัญมณี ชำระหนี้บัตรเครดิต เป็นต้น ต่อมาสมเด็จพระวันรัตได้ทราบ เกี่ยวการโอนเงินวัดเข้าบัญชีจำเลย จึงสอบถามจำเลย ซึ่งจำเลยตอบว่าโอนเงินผิด สมเด็จพระวันรัตจึงตำหนิจำเลย แล้วบอกให้โอนเงินกลับคืนมา แต่จำเลยไม่โอน ทั้งนี้ จำเลยมีการกระทำในลักษณะเดียวกันนี้ ต่อวัดบวรฯ วัดรัตนวราราม ในหลายบัญชี จึงขอให้ลงโทษจำเลยสถานหนัก และให้คืนเงิน 80.1 ล้านบาท แก่วัดวชิรธรรมาราม  ส่วนจำเลยให้การปฎิเสธ ทำนองว่า เป็นเงินได้มาโดยเสน่หา ชั้นพิจารณาคดีจำเลยถูกควบคุมตัวที่เรือนจำมาโดยตลอด
   

โดยวันนี้ ศาลได้เบิกตัวนายอภิรัตน์ หรือ นายเนย จำเลย มาจากเรือนจำ และมีญาติโยมลูกศิษย์วัด มาร่วมฟังคำพิพากษา ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยมีเจตนาฉ้อโกงหลอกลวงสมเด็จพระวันรัต โดยปลอมและใช้ใบถอนเงินปลอม โดยเมื่อ 29 ม.ค.2564 จำเลยได้ถอนเงินจำนวน 50 ล้านบาท ซึ่งเจ้าหน้าที่ธนาคารหลงเชื่อว่า ใบถอนเงินดังกล่าวเป็นเอกสารฉบับจริง หลังจากนั้น วันที่ 6 ม.ค.2565 จำเลยยังได้โอนเงินจำนวน 30 ล้านบาทเศษ เข้าบัญชีส่วนตัวของจำเลย โดยฝ่าฝืนไม่ได้รับความยินยอมจากสมเด็จพระวันรัต 

นายเนย คนสนิท สมเด็จพระวันรัต

ดังนั้น จากพฤติกรรมเห็นได้ว่า จำเลยมีเจตนาหลอกลวงเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง โดยทุจริตมาตั้งแต่ต้น และปกปิดข้อมูลข้อเท็จจริง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ฐานปลอมเอกสาร และใช้เอกสารปลอม ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม ซึ่งเป็นบทลงโทษหนักที่สุด พิพากษาว่า จำเลย
มีความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 265 และ 268 วรรคแรก ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม จำนวน 2 กระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมโทษจำคุก 10 ปี และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 80 ล้านบาทเศษ แก่วัดวชิรธรรมารามด้วย
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ