ข่าว

ตร.ไซเบอร์เตือนภัย 'มัลแวร์เรียกค่าไถ่' แนะ 9 ข้อ ป้องกันตกเป็นเหยื่อ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ตำรวจไซเบอร์ เตือนภัย "มัลแวร์เรียกค่าไถ่" Ransomware กลับมาระบาด พร้อมแนะ 9 วิธีป้องกัน ชี้ผู้กระทำมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีโทษทั้งจำคุกและปรับ

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษกกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เตือนภัยระวังตกเป็นเหยื่อ Ransomware หรือ มัลแวร์เรียกค่าไถ่  เป็นมัลแวร์ประเภทหนึ่งที่จะเข้ามาล็อกข้อมูลผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นไฟล์เอกสาร รูปภาพ วิดีโอ จนทำให้ไม่สามารถเปิดไฟล์ใด ๆ ได้ หากต้องการกู้ข้อมูลคืนมา จะต้องจ่ายเงินค่าไถ่ตามที่ผู้โจมตี หรือมิจฉาชีพเรียกร้อง จำนวนเงินค่าไถ่ก็จะแตกต่างกันไป และการชำระเงินจะต้องชำระผ่านระบบที่มีความยากต่อการตรวจสอบ หรือติดตาม เช่น การโอนเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์, การชำระเงินออนไลน์แบบเติมเงินโดยใช้บัตรกำนัล (Paysafecard), เงินสกุลดิจิทัล เป็นต้น
 

โดยในช่วงที่ผ่านมา บช.สอท. ได้รับแจ้งความจากผู้เสียหายว่า บริษัทได้รับความเสียหายจากการถูกมัลแวร์เรียกค่าไถ่  หรือ Ransomware ถูกล็อกไฟล์ข้อมูล ไม่สามารถเข้าถึงและใช้งานได้ มีการเรียกค่าไถ่เป็นบิตคอยน์ (Bitcoin) มูลค่าหลายล้านบาท 

ซึ่งทาง บช.สอท. ได้ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ตรวจสอบพบว่า คอมพิวเตอร์บริษัทของผู้เสียหายถูกโจมตีด้วย Faust Virus หรือ Ransomware ซึ่งได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อป้องกันไม่ให้เหยื่อเข้าถึงข้อมูลของตนเอง โดยแผนประทุษกรรมของคนร้ายจะ สร้างมัลแวร์ที่มีลักษณะการทำงานแบบเข้ารหัส หรือล็อกไฟล์ ไม่ว่าจะเป็นไฟล์เอกสาร รูปภาพ วิดีโอ ผู้ใช้งานจะไม่สามารถเปิดไฟล์ได้ จนกว่าจะได้รับรหัส หรือคีย์ที่ใช้ในการปลดล็อกไฟล์

 

 

 

โฆษก สอท.เตือนภัยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ ที่กลับมาระบาดในช่วงนี้

 

 

ซึ่งกรณีดังกล่าวน่าจะมาจากช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแฝงมาในรูปแบบเอกสารแนบมากับอีเมล โดยการสร้างเว็บไซต์ปลอม หรืออีเมลปลอม แล้วส่งข้อมูลมาในรูปเอกสารที่ใช้ไฟล์ .doc หรือ .xls แต่ความจริงคือเป็นไฟล์ “.doc .exe ” หรือแฝงตัวมาในรูปแบบของโฆษณา โดยการโฆษณาไปยังบริษัทเป้าหมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความสามารถในการจ่ายเงินค่าไถ่ หรืออาจจะเกิดจากบุคคลในองค์กรเองที่ไปคลิกลิงก์ที่คนร้ายส่งมา ทำให้มัลแวร์ดังกล่าวติดตั้งตัวเองในระบบแล้วทำการเข้ารหัส หรือล็อกไฟล์ทั้งหมด จากนั้นจะมีข้อความเตือนที่หน้าจอให้ติดต่อกลับไป คนร้ายมักจะเรียกเป็นสกุลเงินดิจิทัล หากไม่ยอมจ่ายคนร้ายจะข่มขู่ว่าจะทำลายไฟล์ทั้งหมด หรือนำไปเปิดเผยต่อไป

 


การกระทำลักษณะดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิดฐาน “ ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดฐานเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 หรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง”

 

 

 

 

 

ตัวอย่างข้อความผู้ที่ถูกมัลแวร์เรียกค่าไถ่

 


โฆษก บช.สอท. แนะแนวทางการป้องกันการถูกเรียกค่าไถ่ข้อมูล Ransomware  9 ข้อ ดังต่อไปนี้

1.ใช้กฎ 3-2-1 Backup Rule คือ การเก็บข้อมูลสำคัญเอาไว้ 3 ชุด ได้แก่ ข้อมูลหลักต้นฉบับ 1 ชุด และข้อมูลสำรองอีก 2 ชุด โดยเก็บไฟล์เหล่านั้นเอาไว้บนอุปกรณ์ที่แยกขาดจากกัน 2 ประเภท และข้อมูลสำรองชุดหนึ่ง นำไปเก็บไว้ที่ต่างสาขา หรือสำรองเอาไว้แบบออฟไลน์

 

2.อัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ การอัปเดตระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์จะช่วยป้องกันการโจมตีที่ต้องอาศัยช่องโหว่ของซอฟต์แวร์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน Adobe Flash, Microsoft Silverlight และเว็บเบราว์เซอร์ ควรติดตามและอัปเดตให้เป็นปัจจุบัน

 

3.ติดตั้งโปรแกรมป้องกันมัลแวร์ (Anti-malware) ลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อป้องกันการเข้าถึงเว็บไซต์ที่เป็นอันตรายและตรวจสอบไฟล์ทั้งหมดที่ถูกดาวน์โหลด

 

4.เมื่อพบเว็บไซต์ หรือไฟล์ หรือลิงก์ ที่ไม่น่าไว้ใจ ให้รีบลบทิ้ง ไม่ควรลองคลิกเปิดดูว่าเป็นโปรแกรมใด และเมื่อได้รับอีเมลควรตรวจสอบให้ดีก่อนการดาวน์โหลดเอกสารที่แนบมา หรือติดต่อไปยังผู้ส่ง

 

5.ห้ามพนักงานใช้เครื่องคอมพิวเตอร์บริษัท หรือหน่วยงานทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น เปิดอีเมลส่วนตัว หรือเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์อันตราย

 

6.ปิดการดาวน์โหลดอัตโนมัติ (autorun) กรณีใช้ Flash Drive Harddisk และสมาร์ตโฟนบน Windows เพื่อป้องกันมัลแวร์

 

7.ไฟล์ที่สำคัญ ให้กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงจากบุคคลภายนอกให้เพียง Read-only เท่านั้น

 

8.ทำการ block blacklist IP จากข้อมูล Threat Intelligence เพื่อเป็นการป้องกันเบื้องต้นในการเข้าถึง Server ต่าง ๆ ที่เป็นอันตราย

 

9.ติดตามข่าวสาร ควรติดตามข่าวสารช่องโหว่หรือภัยคุกคามต่าง ๆ รวมถึงศึกษาวิธีการป้องกันเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของเหล่าผู้ไม่หวังดีและเพื่อความปลอดภัยของตัวผู้ใช้งานเอง

 

 


 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ