ข่าว

ชูวิทย์ ต่อสายหาพยาน ถูกโน้มน้าวถอนตัวคดี "ตู้ห่าว" พบมีขบวนการทำลายพยาน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"ชูวิทย์" ต่อสายตรงหา พยานปากเอก ถูกโน้มน้าวให้ถอนตัวจากพยาน คดี "ตู้ห่าว" ชี้เป็น ขบวนการทำลายพยานหลักฐาน คาดใช้เวลาสืบพยาน 400 ปาก นาน 2 ปี

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตนักการเมือง แถลงข่าว พร้อมต่อสายโทรศัพท์ถึงพยานบุคคลสำคัญ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 400 ปาก ของคดี "ตู้ห่าว" ที่ถูกโน้มน้าวให้ถอนตัว จากการเป็น พยาน ในคดี

 

 

โดยพยานรายดังกล่าว เผยว่า เจ้าตัวได้ไปให้การกับอัยการสูงสุดแล้ว รวมทั้ง กรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่ไม่ทราบว่า ในส่วนของฝ่ายจำเลยรู้ได้อย่างไรว่า ตนไปให้การในคดีดังกล่าว จึงได้พยายามโน้มน้าวให้ถอนตัวออกจากการเป็นพยาน แต่ไม่ได้มีการเสนอเป็นตัวเลข

 

โดย นายชูวิทย์ เชื่อว่า การสืบพยานจะต้องใช้ระยะเวลา นานกว่า 2 ปี ในการสืบพยานกว่า 400 ปาก ซึ่งขณะนี้พบว่า มีขบวนการที่จะทำลายพยานหลักฐาน ซึ่งคนที่ทำลายพยานหลักฐานเชื่อว่า เป็นคนที่ได้รับการประกันตัวไปก่อนหน้านี้ จึงเรียกร้องให้มีการถอนประกัน ประกอบกับเนื่องจากจะต้องมีการเพิ่มข้อกล่าวหา อาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งปกติการเพิ่มข้อหา จะต้องถูกถอนประกัน

 

 

นายชูวิทย์ ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า การตั้งข้อหา ฟอกเงิน กับ "ตู้ห่าว" ล่าช้า จะทำให้มีโอกาสเคลื่อนย้ายถ่ายเท ทรัพย์สินออกไป เพราะที่ผ่านมา ทรัพย์สินของ "ตู้ห่าว" ที่ตรวจพบประมาณ 8 พันล้านบาท กลับไม่มีเงินสด แม้แต่บาทเดียว มีเพียงเงินในบัญชีแค่ 1 แสนบาทเท่านั้น

 

 

สำหรับ พยานที่ถูกโน้มน้าว ขณะนี้มี 2 คน คนแรก คือ คนที่เห็นการถอนเงินออกจากบัญชี และ คนที่ 2 เป็นพยานของโรงแรม ซึ่งตนไม่สามารถให้รายละเอียดมากกว่านี้ได้ เนื่องจากขณะนี้พยานทั้ง 2 คน อยู่ในการคุ้มครองของตำรวจ นอกจากนี้ ยังพบพยานอีก 1 คน ถูกข่มขู่จนเกิดความกลัว และตอนนี้ไม่สามารถติดต่อได้

 

ชูวิทย์

 

ทั้งนี้ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ขบวนการนี้มีเจ้าหน้าที่รัฐคอยสนับสนุน และอยู่เบื้องหลัง ทำให้คดีบิดเบี้ยว หรือล่าช้า เนื่องจากแต่ละขั้นตอนใช้ระยะเวลานาน ทำให้พยาน หรือหลักฐานเสียหาย หรือเปลี่ยนแปลง เพราะจำเลยเป็นผู้มีอิทธิพล และมีเงิน จึงทำให้มีโอกาสในการต่อสู้ และโน้มน้าวพยาน โดยการโน้มน้าวพยานจะถูกเสนอผลประโยชน์ในรูปแบบของเงิน เพื่อไม่ให้ไปให้การต่อศาล หากไปให้การก็ให้การปฏิเสธว่า ไม่รู้และไม่เห็น ส่วนพยานที่ให้การแล้ว ก็ขอให้การใหม่ หรือสุดท้ายให้พยานหายตัวไป ไม่ต้องไปให้การต่อศาล

 

 

จากประเด็น ขบวนการตบทรัพย์ทุนจีน สีเทา ระหว่างเข้าตรวจค้น อดีตบ้านพักกงสุลใหญ่นาอูรู ประจำประเทศไทย ของตำรวจนครบาล ตำรวจสายตรวจและปฏิบัติการพิศษ (191) ทหาร ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย 

 

 

โดยต้นเรื่องนี้ เกิดจากเจ้าหน้าที่ ดีเอสไอ ไม่ใช่ตำรวจ 191 เนื่องจาก ดีเอสไอ ยังไม่สามารถตั้งเลขคดีได้เพราะการตั้งเลขคดีจะต้องผ่านคณะกรรมการฯ และต้องให้อธิบดีรับรอง แต่กรณีนี้ เจ้าหน้าที่ดีเอสไอเกรงว่า ผู้ต้องหาจะหลบหนีจึงประสานตำรวจนครบาลออกหมายจับและเข้าไปตรวจค้นร่วมกัน

 

 

จากข้อมูลที่มีอยู่ ส่วนตัวมองว่า อธิบดีดีเอสไอ ไม่รู้เรื่อง ในประเด็นการเรียกรับผลประโยชน์ และเชื่อว่า คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีชื่อย่อตัว "ท" ซึ่งอยู่ในระดับบริหารของ ดีเอสไอ ส่วนประเด็นที่เงินของกลางที่หายไป 9.5 ล้าน ประเด็นนี้ ตนไม่รู้ว่าเงินอยู่ที่ไหน

 

 

ชูวิทย์

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ