ข่าว

ผบช.น. ยันทำคดี "ผับจินหลิง" โปร่งใส ขอรอดูผลวันอัยการสั่งฟ้อง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"บิ๊กจ้าว" แจงทำสำนวนคดีผับจิ้นหลิง ไม่ล่าช้า ไม่มีนอกมีใน การค้นครั้งที่ 2 เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย วอนสังคมติดตามคดีนี้ใกล้ชิด วันสรุปสำนวนของอัยการ จะทราบว่าหลักฐานของนครบาลอ่อนจริงหรือไม่

28 ธ.ค.2565  พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พร้อมด้วย  ,พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รองผบ.ชน. ,พล.ต.ต.จีรสันต์ แก้วแสงเอก รองผบช.น.และโฆษก บช.น. และ พล.ต.ต.พิทักษ์ อุทัยธรรม รอง ผบช.น. ร่วมกันแถลงความคืบหน้า คดีผับจินหลิง ในพื้นที่ สน.ยานนาวา ภายหลังมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์  การทำงานของตำรวจชุดสอบสวนของนครบาล ว่าทำคดีนี้ล่าช้า มีเจตนาช่วยเหลือผู้ต้องหา ในคดีผับจินหลิง 
 


โดย ผบช.น.ชี้แจงขั้นตอนทุกอย่างเป็นไปด้วยความโปร่งใส และละเอียดรอบคอบที่สุดแล้ว  เนื่องจากคดีดังกล่าว เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค. 65 ซึ่งเป็นวันที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นผับจินหลิง และจับกุมนักท่องเที่ยวชาวจีน 200 กว่าราย และได้ทำการรวบรวมของกลางและพยานหลักฐานไว้ทั้งหมด ในพื้นที่เกิดเหตุ ซึ่งขณะนั้นยังดำเนินคดีได้เพียงข้อหา จำหน่วยและเสพยาเสพติดในสถานบันเทิง กับนักท่องเที่ยวที่ตรวจพบสารสีม่วง รวมถึง เจ้าของผับ ซึ่งศาลออกหมายจับ และนำมาสู่การจับกุม "นายตู้ห่าว" ในวันที่ 23 พ.ย. 65 

 

 

 

 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.)

 

 

 

ขณะเดียวกันทางคณะทำงานของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ปปส.ได้มีคำสั่งอายัดของกลางคืออาคารจินหลิง และรถยนต์ในที่เกิดเหตุไว้ในอำนาจของ ป.ป.ส. ดังนั้น การจะเข้าตรวจสอบอาคาร รอบ 2 จึงเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานที่ผ่านมา

 

รวมถึง การเปิดรถยนต์คงค้างที่ไม่สามารถเปิดได้ก่อนหน้านี้ โดยสาเหตุหลักของการเข้าตรวจค้นรอบสอง เมื่อวานนี้เนื่องจากตำรวจหรือพนักงานสอบสวนของนครบาลไม่สามารถดำเยินการได้แต่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป  แต่ต้องรอ ให้หน่วยงานผู้อายัด ได้แก่ ป.ป.ส.พร้อม จึงจะดำเนินการได้  เช่นเดียวกับรถยนต์ ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับผับจินหลิงที่ป.ป.ส.อายัดไว้ และเพิ่งเปิดได้เมื่อวานนั้น 

 

ผบช.น. ยังกล่าวอีกว่า หากสื่อมวลชนจะย้อนกลับไปดูก่อนหน้านี้ ในวันที่เปิดตรวจสอบรถของกลาง จะทราบว่ารถดังกล่าวไม่สามารถเปิดได้ เนื่องจากต้องใช้ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งในวันดังกล่าว ทางนครบาล 6 พยายามแล้วแต่ก็ไม่สามารถเปิดได้ จนกระทั่งเมื่อวานที่ผ่านมา ได้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่เจ้าหน้าที่หามาได้ จึงทำการเปิดตรวจสอบ 

 

 

บิ๊กโจ๊ก นำค้นภายในผับจินหลิงรอบ 2

 

 

ส่วนการตรวจค้นเมื่อวานนี้ ในอาคารจินหลิง อาคารลีลา  พบว่ามีอุปกรณ์ การเล่นพนัน ก็ไม่เป็นเรื่องแปลกเนื่องจากทางนครบาล เชื่อมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วก่อนเข้าตรวจค้นแล้ว ว่าอาคารดังกล่าวมีการเปิดให้มีการลักลอบเล่นการพนัน และมั่วสุมเสพยาเสพติดโดยมีลักษณะ แบบสถานบันเทิง เมื่อการตรวจค้นครั้งแรกไม่เจออุปกรณ์การเล่นการพนัน เพราะมีการซุกซ่อนเป็นอย่างดี

 

 

 

ส่วนกรณีอาคารวิบวับ คาร์วอช เนื่องจากวันที่ 26 ต.ค. 65 ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้เนื่องจาก ไม่มีใครแสดงตัวตนเป็นเจ้าของ ประกอบกับประตูล็อกด้วยรหัสผ่าน เข้าหน้าที่จึงไม่สามาถเข้าดำเนินการได้ในวันดังกล่าว แต่ตำรวจเชื่อว่าในอาคารดังกล่าวจะมีสิ่งผิดกฎหมาย จึงขออำนาจศาลอออกหมายค้นครั้งที่ 2 ซึ่งศาลให้ตรวจค้นได้ในวันที่ 1 พ.ย. 65 เพียง 1 ชั่วโมง คือ 17. 00 - 18.00 น.

 

จากการตรวจค้นพบว่ามียาเสพติดและอาวุธปืน  จึงรวบรวมพยานหลักฐานที่ได้ในระยะเวลา 1 ชั่วโมงนำมาจัดเก็บและทำการบันทึก ออกเลขคดี แต่ตามที่กล่าวในข้างต้นว่าอาคารดังกล่าวไม่มีใครแสดงตัวเป็นเจ้าของจึงทำให้พนักงานอสอบสวนต้องถอดเทป วิดีโอวงจรปิดเพื่อหาความเชื่อมโยงและหาตัวบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของผู้ใช้สถานที่ดังกล่าว ซึ่งการถอดเทปต้องใช้เวลานานข้ามวัน ในที่สุดก็พบว่าเจ้าของอาคารและผู้ใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นบุคคลกลุ่มเดียวกับผับจินหลิง จึงดำเนินการนพยานหลักฐานที่ได้ จากวิบวับเข้าไปเพิ่มในสำนวนของจิ้นหลิง 

 

ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยังยืนยันว่า คดีนี้พนักงานสอบสวน ดำเนินการตามกรอบระยะเวลา ที่กฎหมายกำหนดและ ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย มีการรวบรวมพยานหลักฐานอย่างรอบคอบที่สุด การจะแจ้งข้อหาใครไม่สามารถทำได้ โดยไร้ความชัดเจนและหากจะช่วยเหบือผู้กระทำความผิด ทำลายหลักฐานไปตั้งแต่แรกจะดีกว่า ไม่ใช่การนำหลักฐานเข้าเพิ่มเติมอย่างที่พนักงานสอบสวนทำอยู่

 

อยากให้สังคมติดตามคดีนี้ อย่างใกล้ชิดต่อไป โดยเฉพาะในวันสรุปสำนวนของอัยการ ซึ่งเป็นคนที่จะให้คำตอบกับสังคมได้ดีที่สุดว่า พยานหลักฐานที่รวบรวมไว้นั้นน้อยหรืออ่อน หรือสมบูรณ์ ชัดเจน 

 

นอกจากนี้ ผบช.น. ยังขอร้องว่าใครก็ตามที่ติดตามคดีนี้อย่านำ คดีหลงจู้สมชาย เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้เพราะคดีหลงจู้สมชาย มีการเกิดขึ้นที่ ภาค 2 จริง แต่มีการสรุปและโอนสำนวนให้กองปราบปราม ดำเนินการก่อนที่ตนจะไปดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 จึงไม่เกี่ยวข้องกับตน แต่ตนทำได้เพียงแค่ติดตามความคืบหน้าของคดีเท่านั้น

 

 


 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ