"ชูวิทย์" แฉต่อคดี ผับจินหลิง เตือน ผบ.ตร. เก้าอี้สั่น หากไม่เปลี่ยนตัว น.1

(25 ธ.ค.2565) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง ตั้งโต๊ะแถลงข่าว เครือข่าย “ผับจินหลิง” อีกครั้ง โดยนายชูวิทย์ ระบุว่า ในส่วนของการทำสำนวนคดีของตำรวจ เปรียบเหมือนการปรุงอาหาร ที่ตำรวจเป็นคนปรุง และส่งให้อัยการชิม ก่อนเสริฟให้ศาล เพื่อตัดสินว่า อร่อย(ลง) หรือ ไม่อร่อย (สำนวนอ่อน ยกฟ้อง)

 

ซึ่งขณะนี้ตนมองว่า การทำคดีนี้ เป็นการสมคบคิดร่วมกันทำ มีการทำอาหารจานนี้ หรือสำนวนคดีมีความหละหลวม ไม่รัดกุม มีหลายประเด็น ที่มีข้อสงสัย หากปล่อยสำนวนคดีนี้ไปถึงชั้นศาล ย่อมอาจเป็นช่องว่าง ให้ทางทนายความฝั่งจำเลย ใช้ช่องเหตุแห่งความสงสัยต่าง ๆ สู้คดีได้

 

สำหรับที่ผ่านมา ตนเองออกมาพูดเรื่อง การเอาผิดกับกลุ่มผู้ต้องหา โดยเฉพาะนายตู้ห่าว ในเรื่องของการฟอกเงินมาตลอด แต่ทางตำรวจได้มีการดำเนินการมีการปล่อยทิ้งระยะเวลาไปนานถึง 2 เดือน จึงจะเริ่มมีการแจ้งข้อหาดังกล่าว เมื่อวานนี้ ซึ่งในเรื่องของทรัพย์สินตนเองตั้งข้อสงสัยว่า อาจจะมีการยักย้ายถ่ายเทไปแล้วหลายส่วน

 

นายชูวิทย์ ได้ย้อนไทม์ไลน์ ลำดับเหตุการณ์ วันที่ 26 ตุลาคม เป็นวันเข้าจับกุมตรวจค้น “ผับจินหลิง” ต่อมา วันที่ 22 พฤศจิกายน มีการจับกุมนายตู้ห่าว จนมาวันที่ 24 ธันวาคม เพิ่งมีการแจ้งข้อหาเพิ่ม เรื่องฟอกเงิน กับผู้ต้องหา แต่ไม่มีการแจ้งกับนายตู้ห่าว แต่อย่างใด

ส่วนคำถามในข้อแรก ที่ตนเองอยากให้ พล.ต.ท. ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ตอบคำถามต่อสังคมคือ การเข้าค้น ผับจินหลิง รอบแรก เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ที่ผ่านมานั้น ได้ของกลางจากจินหลิง และลีลา รวมยาเสพติดกว่า 4.5 กิโลกรัม แต่ไม่เข้าค้น วิบวับคาร์วอส ทั้งที่เป็นบ้านเลขที่เดียวกัน ตั้งอยู่ในรั้วเดียวกัน

 

แต่กลับมาค้นที่วิบวับคาร์วอส อีกครั้งในวันที่ 1 พฤศจิกายน เวลา 17.00 น.ถึง 18.00 น. จนพบของกลางยาเสพติด 950 กรัม ทำให้มองว่า ทำไมจึงไม่เข้าค้นตั้งแต่วันแรกที่เข้าค้น เพราะมีการลงเวลาการค้นเพียง 1 ชั่วโมง

 

ทั้งนี้ ตนเองมองว่า วิบวับคาร์วอส เป็นคลังในการเก็บยาเสพติด ส่วนจุดที่ค้นในวันที่ 26 ตุลาคม เป็นเพียงจุดขายปลีก ดังนั้น เชื่อว่า การทิ้งไว้นานถึง 5 วัน เป็นช่องให้มีการยักย้ายถ่ายเทยาเสพติดออกจากพื้นที่ แม้จะมีการอ้างว่า มีการส่งกำลังตำรวจเข้าไปปิดล้อมพื้นที่ แต่พบว่าเป็นเพียง ตำรวจยศ สิบตำรวจ จำนวน 2 นาย ที่เข้าไปดูแลสถานที่

 

อีกทั้ง สำเนาบันทึกของกลางที่เข้าตรวจค้นในวันที่ 26 ตุลาคมนั้น ก็ได้สูญหายไปจาก สน.ยานนาวา จนถึงขณะนี้ ยังไม่พบเอกสารดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ต้องตอบคำถามในประเด็นนี้ให้ได้

ส่วน คำถามข้อที่ 2 วันเข้าค้น เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม เลขคดี 794/2565 ไม่มีการลงระบบ Crime ซึ่งเป็นระบบ ฐานข้อมูลสำคัญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขณะที่ในวันเข้าค้นเมื่อวันที่ 1พฤศจิกายน เลขคดี 803/2565 กลับมีการลงบันทึก แต่เป็นการเข้าค้น ในวันที่ 2 พฤศจิกายน ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริง

 

อีกทั้ง ในการเข้าค้นวันที่ 1 พฤศจิกายน ตำรวจพบหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด ปรากฏภาพของ นายเหมาหยาง ว่าเป็นบุคคลที่อยู่ในสถานที่ดังกล่าว แต่ตำรวจกลับไม่มีการดำเนินการใดใดกับ นายเมาหยาง ทั้งที่สถานที่ดังกล่าว มีการตรวจพบยาเสพติด และกลับลงในระบบฐานข้อมูลของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าไม่พบผู้กระทำความผิดในวันเข้าตรวจค้น

 

พร้อมกันนี้ตนเอง ยังฝากถึง พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่าหากไม่มีการเปลี่ยนตัว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะถูกเขย่าสั่นไหว ตนเองจึงขอแนะนำให้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งให้มีการเปลี่ยนตัว และหาคนอื่นมาทำงานแทน

 

เนื่องจากตนเอง เชื่อว่าสุดท้าย หากยังคงปล่อยให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล คนนี้เป็นผู้รับผิดชอบในการทำคดี จะเหมือนคดีของ “หลงจู๊สมชาย” ที่ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคนนี้ เคยทำสมัยที่เป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ที่ขณะนั้นมีการเข้าตรวจค้นยึดทรัพย์สินอย่างเอิกเกริก แต่สุดท้ายศาลยกฟ้อง โดยให้เหตุผลถึงหลักฐาน ของทางตำรวจอ่อนเกินไป เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ในหลาย ๆ เรื่อง พบว่ามีความบกพร่องในสำนวนคดีเป็นอย่างมาก

นายชูวิทย์ ระบุว่า หลังจากนี้ เตรียมจะเข้าพบอัยการที่รับผิดชอบสำนวนของ ดีเอสไอ ที่มีการตรวจพบว่า “พัชรินทร์” มีการรับโอนเงินกับกลุ่ม คอลเซ็นเตอร์ หลายล้านบาท เพื่อติดตามการทำงานในประเด็นนี้

 

ทั้งนี้ก่อนจะจบการแถลงข่าว นายชูวิทย์ ยังมีการเกริ่นว่า ในการแถลงครั้งต่อไป ตนเองจะชี้แจงว่า เหตุใดถึงยืนยันมาตลอดว่า เป็นคดีนอกราชอาณาจักร เพราะมีการวางแผนในประเทศจีน ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร ให้รอติดตามตอนต่อไป